สัญญากู้ปลอม   กรณีต่อสู้ว่าสัญญากู้ปลอม

             การต่อสู้และสัญญากู้ปลอมนั้น เป็นผลให้โจทก์มีภาระการพิสูจน์ว่า สัญญากู้ที่นำมาฟ้องนั้นสมบูรณ์ถูกต้อง ไม่ปลอม แล้วจำเลยสืบแก้ ซึ่งสามารถสืบพยานบุคคลได้ ตามข้อยกเว้นในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง แต่อย่างใดก็ตาม การที่จำเลยจะมีสิทธิสืบแก้ได้นั้น จำเลยจะต้องอ้างเหตุแห่งการปลอมนั้นไว้ด้วยว่า ปลอมเพราะเหตุใด ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
             ฎีกา 2243/2521
             โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ จำเลยให้การต่อสู้ว่า สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอมโดยไม่อ้างเหตุตั้งประเด็นไว้ว่าปลอมอย่างไร ย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 จำเลยไม่มีสิทธิสืบพยานบุคคลตามข้อต่อสู้นั้น
กรณีตามฎีกาที่ 2243/2521 นี้ถือว่าจำเลยได้ให้การต่อสู้คดีไว้แล้วว่า สัญญากู้ปลอมเกิดเป็นประเด็นที่พลาด โจทก์มีภาระการพิสูจน์ตามประเด็น แต่จำเลยไม่มีสิทธิสืบแก้เพราะไม่ได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธไว้ ก็ไม่มีข้ออ้างที่จะนำสืบหรือไม่มีเหตุผลที่อ้างนั่นเอง
            ฎีกาที่ 1372/2526
            โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินไป 28,750 บาท จำเลยให้การว่า กู้ไปเพียง 4,000 บาท โดยโจทก์ให้จำเลยลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ การที่จำเลยนำสืบ ตัวจำเลยและพยานบุคคลอีก 2 คน ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปเพียง 4,000 บาท โจทก์ได้ให้จำเลยลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้ โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ เป็นการนำสืบให้เห็นว่ามีการกรอกข้อความที่ผิดความจริง ว่าจำเลยกู้เงินไป 28,750 บาท ลงในสัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง ซึ่งหากฟังได้สัญญากู้ดังกล่าวย่อมเป็นเอกสารปลอม การนำสืบเช่นนี้เป็นการนำสืบหักล้างเอกสาร จำเลยมีสิทธินำไปสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคสอง
            สอบถามกฎหมายกับผู้เชี่ยวชาญคดีเงินกู้ สอบถามคดีเงินกู้เพิ่มเติม ติดต่อ 091-047-3382 (ทนายสุริยา สนธิวงศ์)

กฎหมายหน้ารู้

การฟ้องคดีเงินกู้

เกี่ยวกับการฟ้องหรือการบรรยายฟ้องเกี่ยวกับคดีเงินกู้นั้น  ก็ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง  แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีแพ่ง ซึ่งบัญญัติว่า คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นนั้น

ดังนั้น  จึงต้องมีการบรรยายฟ้องที่ชัดเจน ไม่เคลือบคลุม ไม่ขัดกันเอง เช่น กรณีวันที่กู้เป็นระยะเวลาหลังจากหนี้ถึงกำหนดแล้ว เช่น ฟ้องว่ากู้วันที่ 5 พฤศจิกายน 2533 กำหนด 1 เดือน ครบกำหนดสัญญาวันที่ 5 ตุลาคม 2533  ซึ่งอ่านแล้วก็จะไม่เข้าใจ อาจจะเป็นกรณีผิดพลาดเรื่องการพิมพ์ หรือบรรยายฟ้องวันทำสัญญากับวันครบกำหนดตามสัญญาสลับวันกัน การบรรยายฟ้องจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ  ขอสรุปเป็นข้อสังเกตุดังนี้

1.การบรรยายฟ้องไม่จำเป็นต้องบรรยายเกี่ยวกับที่มาหรือมูลหนี้ที่กู้ยืมแม้ไม่บรรยายก็ไม่ถือว่าเป็นฟองเคลือบคลุม

 

ฎีกา 720/2518

ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ซึ่งโจทย์ได้ส่งสำเนาสัญญากู้มาพร้อมกับฟ้องแล้ว  แม้ในฟ้องจะได้กล่าวถึงที่มาหรือมูลหนี้ของสัญญากู้ฉบับที่โจทก์ฟ้อง  แต่ไม่ได้เปล่ารายละเอียดต่างๆของที่มาหรือมูลหนี้นั้นไว้ด้วยก็ไม่เป็น

 

ฎีกา 2317/2530

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์และได้รับเงินกู้ไปแล้ว  การที่โจทก์นำสืบว่า  เดิมสามีจำเลยกู้เงินสดไป จำเลยรู้เห็นด้วย เมื่อสามีจำเลยถึงแก่กรรม  จำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้ให้จดไว้แต่จำเลยไม่ชำระเงินตามสัญญากู้นั้นจึงเป็นการนำสืบถึงมูลหนี้ของสัญญากู้ซึ่งโจทก์มีสิทธิ์นำสืบได้โดยไม่ต้องบรรยายไว้ในคำฟ้องและไม่เป็นการนำสืบแตกต่างจากคำฟ้อง

  1. กรณีกู้เงินกันหลายครั้ง หลายปี แล้วนำมาฟ้องในคราวเดียวกัน บรรยายปีที่กู้สลับกันไม่เรียงลำดับแต่ละปีแต่ได้เอกสารสำเนาสัญญากู้แต่ละฉบับมาท้ายฟ้อง  ตรงกับคำบรรยายฟ้องและไม่ขัดกับเอกสารดังนี้  ฟ้องไม่เคลือบคลุม (ฎีกาที่ 1324/2519) หรือกรณีโจทก์ฟ้องว่าจำเลยในฐานะที่เป็นลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการได้ทำหลักฐานยืมเงินจดไป 14 ครั้งรวมเป็นเงิน 61,500 บาท โดยจำเลยอ้างว่ายืมไปทดรองจ่ายในกิจการของบริษัทโจทก์ แต่จำเลยไม่ได้นำเงินยืมไปใช้ในกิจการของโจทก์ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยถือว่าฟ้องโจทก์ได้กล่าวแสดงรายละเอียดถึงวันเดือนปีและจำนวนเงินที่จำเลยยืมไปและมีสำเนาใบยืมท้ายฟ้องดังนี้ ฟ้องโจทย์ไม่เคลือบคลุม(ฎีกาที่ 10000/2511)
  2. กรณีที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทย์เคลือบคลุมขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 137 วรรค 2 นั้น  หากจะให้ศาลสูงวินิจฉัยในประเด็นนี้โจทย์จะต้องอุทธรณ์โต้แย้งเป็นประเด็นว่าคำฟ้องของโจทย์ไม่เคลือบคลุมเพราะเหตุใดหากไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาตามลำดับแต่เพิ่งจะมายกขึ้นกล่าวในชั้นฎีกาแล้วศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 (ฎีกาที่ 77/2511)
  3. กรณีเรื่องบัญชีเดินสะพัดแต่ตั้งรูปเรื่องฟ้องมาเป็นกู้ยืมหากคำบรรยายฟ้องเข้าลักษณะบัญชีเดินสะพัดศาลก็มีอำนาจยกบทกฎหมายที่ถูกต้องมาปรับแก้คดีได้

 

ฎีกาที่ 4872/2528

โจทก์ฟ้องเรื่องกู้ยืมเงินแต่บรรยายฟ้องและนำสืบว่าโจทย์ที่ 2 ได้รับโควตา เป็นผู้ส่งอ้อยให้แก่โรงงานน้ำตาล  โจทก์ตกลงให้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นลูกไร่ส่งอ้อยให้แก่โจทก์  เพื่อให้โจทก์นำไปขายให้แก่โรงงานน้ำตาล โจทก์ที่ 2  เป็นผู้ออกทุนให้จำเลยทั้งสองก่อนโดยจ่ายเป็นเงินสดบ้าง เป็นเช็คบ้าง  ทั้งได้จ่ายค่าไถ่ที่ดิน  ค่าปุ๋ยและของอื่นๆเพื่อให้จำเลยใช้ในการทำไร่อ้อย โจทก์ที่ 2 ให้จำเลยลงลายมือชื่อกำกับหนี้ทุกรายการ  เมื่อตัดอ้อยแล้วจำเลยทั้งสองส่งให้โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2  จะนำอ้อยดังกล่าวไปขายให้โรงงานน้ำตาล ครั้นโจทก์ที่ 2 ได้รับเงินค่าขายอ้อยจากโรงงาน  จึงมาคิดหักทอนบัญชีกับจำเลยทั้งสอง  หักค่าอ้อยที่จำเลยทั้งสองได้รับไม่พอกับจำนวนเงินที่จำเลยเบิกไป   ก็ยกยอดไปในปีต่อไปและโจทย์คิดดอกเบี้ยเอาแก่จำเลยซึ่งจำเลยทั้งสองรับว่าเป็นผู้ปลูกอ้อยส่งโรงงานน้ำตาลในโควตาของโจทก์   โจทก์จ่ายค่าปุ๋ยให้จำเลย เมื่อโจทก์น้ำอ้อยส่งโรงงานน้ำตาลและได้รับเงินมาแล้วก็มาคิดบัญชีกันเป็นรายปี  แต่หลังจากจำเลยเลิกเป็นลูกไร่ของโจทก์แล้วไม่ได้คิดเงินกันโจทก์จำเลยจะเป็นหนี้ลูกหนี้กันเท่าใดจึงไม่ทราบ  กรณีเช่นนี้นิติสัมพันธ์ระหว่างจดที่ 2 กับจำเลย  จึงเข้าลักษณะบัญชีเดินสะพัดจึงไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ

แม้โจทก์จะฟ้องเรื่องกู้ยืมแต่ก็ได้บรรยายฟ้องเข้าลักษณะบัญชีเดินสะพัด  ศาลมีอำนาจยกบทกฎหมายที่ถูกต้องมาปรับแก่คดีได้  และการฟ้องคดีเกี่ยวกับสัญญาบัญชีเดิมสะพัดนั้นไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีกำหนด 10 ปี  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164

  1. สำหรับสารที่จะรับคำฟ้องคดีกู้ยืมนั้น  เดิมเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4 (2) คือสารที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเป็นหลัก ส่วนสารที่เป็นศาลยกเว้นคือสารที่มูลคดีเกิด  ต่อมามีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยการฟ้องคดีเป็นไปตามมาตรา 4 คือศาลภูมิลำนาวจำเลยและศาลมูลคดีไม่แยกเป็นศาลหลักศาลยกเว้นเหมือนแต่ก่อน

 

ฎีกา 3789/2528

จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดศรีสะเกษ  แต่โจทก์ยื่นคำฟ้องให้จำเลยชำระหนี้กู้ยืมพร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำฟ้องต่อศาลจังหวัดอุบลราชธานี  ซึ่งเป็นสารที่มีมูลคดีเกิดศาลจังหวัดอุบลราชธานี  มีคำสั่งคำร้องนี้ว่า “รวม” และรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยเพื่อแก้คดีและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนกระทั่งเสร็จการพิจารณา  ถือว่าศาลจังหวัดอุบลราชธานี  ได้ใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาลที่มีมูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(2) ศาลจังหวัดอุบลราชธานีจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้             ( วินิจฉัยตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งก่อนแก้ไข)

สอบถามกฎหมาย   กับทนายคดีเงินกู้ สอบถามคดีเงินกู้เพิ่มเติม ติดต่อ 091-047-3382 (ทนายสุริยา สนธิวงศ์)

 

 

กฎหมายหน้ารู้

ข้อพิจารณาอื่นๆ เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน

ข้อพิจารณาอื่นๆ เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน

 ๑. เกี่ยวกับนิติกรรมอำพราง

ฎีกาที่ ๔๖๙๘/๒๕๕๑

ค.กับจำเลยทั้งสามขอกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐ ๐๐๐ บาท มีที่ดินและบ้านพิพาทเป็นโดยจำเลยทั้งสามยินยอมทำเป็นสัญญาขายฝากตามความประสงค์ของโจทก์มีการทำรายการคิดการชำระเงินกัน กำหนดค่าไถ่ถอน ๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท  และมีการคิดดอกเบี้ยกับหักดอกไว้ล่วงหน้าจำนวน ๓๐๐,๐๐๐๐ บาท ด้วย  เมื่อตามกฎหมายมิได้บัญญัติให้นิติกรรมขายฝากมีการเรียกดอกเบี้ยกันได้  ประกอบกับโจทก์เองเบิกความรับว่า ค. ติดต่อเพื่อขอกู้ยืมเงินโจทก์ จึงฟังได้ว่าการทำสัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินโดยมีที่ดินและบ้านพิพาทเป็นประกัน จึงต้องนำกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมกู้ยืมมาใช้บังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๕ เป็นผลให้ที่ดินและบ้านพิพาทยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสาม โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามได้

๒. เกี่ยวกับผู้มีอำนาจฟ้องคดีเงินกู้

           ฎีกาที่ ๑๐๗๕๗/๒๕๕๓

           สัญญากู้ยืมเงินเป็นแบบฟอร์มหนังสือสัญญากู้ยืมเงินของสมาคมกลุ่มออมทรัพย์  และโจทก์ลงลายมือชื่อในช่องประธานคณะกรรมการอำนวยการ (ผู้ให้กู้ยืม) แสดงให้เห็นว่าเงินที่กู้ยืมกันกันไม่ใช่เงินส่วนตัวของโจทก์ เมื่อโจทก์เป็นผู้ดูแลรักษาเงินที่สมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ฝากไว้เพราะโจทก์มีฐานะเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการหรือประธานที่ปรึกษากลุ่มออมทรัพย์ โจทก์จึงเข้าครอบครองดินนั้นมีหน้าที่ส่งคืนเงินจำนวนเดียวกันกับกับที่กลุ่มลธมทรัพย์รับฝากใช้ฝากให้ครบร้านวน เมื่อโจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินที่รับฝากนี้แม้ไม่ใช่ของโจทก์ไป  โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกให้จำเลยผู้กู้ยืมชำระเงินคืนใด้โดยไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจจากผู้ใดก่อนเพราะเป็นการฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิของตนเองตามสัญญากู้ยืม   ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โดยตรง แม้ ก. กู้ยืมเงินโจทก์นำมาใช้เพื่อกิจการของศูนย์สาธิตการตลาดของหมู่บ้านซึ่ง ก. เป็นประธานศูนย์มิใช่การกู้ยืมเงินเพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็ตาม ศูนย์สาธิตการตลาดไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่อาจรับผิดทางแพ่งต่อผู้ใดตามกฎหมายได้ ดังนี้ผู้กู้ยืมต้องรับผิดตามสัญญากู้ยืมเป็นส่วนตัว โจทก์มีอำมีอำนาจฟ้อง

๓. กรณีไม่ใช่เป็นการกู้ยืมเงิน

          ฎีกาที่ ๑๕๑๓๐/๒๕๕๑

          โจทก์และจำเลยเข้าเป็นหุ้นส่วนกันซื้อที่ดินทั้งสองแปลงมาเพื่อขายเอากำไรแบ่งกัน โดยนำเงินที่ลงหุ้นกันจำนวน ๒,๑๑๐,๐๐๐๐ บาท และเงินส่วนตัวโจทก์อีก ๖๐๐,๐๐๐ บาท มาชำระเพิ่มเติม เช่นนี้ เงินจำนวน ๖๐๐,๐๐๐ บาท จึงเป็นเงินที่โจทก์ทดรองจ่ายแทนห้างหุ้นส่วนสามัญไปก่อนหาใช่เป็นเงินที่โจทกให้จำเลยกู้ยืมอันจะต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือไม่

          การเข้าหุ้นซื้อที่ดินทั้งสองแปลงของโจทก์และจำเลยมาเพื่อขายนั้น เป็นการเข้าหุ้นกันเฉพาะเพื่อทำกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดเพียงอย่างเดียว เมื่อขายที่ดินทั้งสองแปลงได้แล้ว การเป็นส่วนระหว่างโจทก์และจำเลยจึงเลิกกันตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๐๕๕ (๓) และหลังจากขาจำเลยได้แบ่งกำไรจากการขายที่ดินให้แก่โจทก์จำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐๐ บาท และมีการทำบัญชีไว้แสดงว่าโจทก์และจำเลยได้มีการคิดบัญชีกันเรียบร้อยแล้ว  ไม่มีทรัพย์สินในระหว่างหุ้นส่วนหรือหนี้สินใดที่จะต้องจัดการกันอีก ถือได้ว่ามีการตกลงกันให้การจัดการทรัพย์สินโดยวิธีอื่นในในระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกันแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๐๖๑ หาใช่ต้องจัดให้มีการชำระบัญชีเสมอไปไม่โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกเงินกำไรและเงินทดรองจ่ายแทนห้างหุ้นส่วนสามัญจากจำเลยได้

๔. เกี่ยวกับพยานผู้เชี่ยวชาญ

          ฎีกาที่ ๑๒๑๘๓/๒๕๔๗

          โจทก์จำเลยท้ากันว่า ให้ศาลส่งลายมือชื่อของจำเลยในสัญญากู้กับตัวอย่างลายมือชื่อชื่อของจำเลยไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ ถ้าผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าลายมือชื่อในสัญญากู้เป็นลายมือชื่อชื่อของจำเลยจริง จำเลยยอมแพ้คดี ถ้าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลย โจทก์ยอมแพ้คดี ศาลส่งเอกสาสารดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจพิสูจน์แล้ว ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่า น่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ดังนี้ ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นการยืนยันหรือทำนองยืนยันว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยตรงตามคำท้าของโจทก์จำเลยแล้ว จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี

๕. เกี่ยวกับการแปลงหนี้ใหม่

            ฎีกาที่ ๓๒๐๙/๒๕๕๐

            ป. กับโจทก์เป็นหุ้นส่วนในการยายที่ดินให้แก่จำเลย  จำเลยไม่มีเป็นชำระค่าที่ดินในสำส่วนของที่ดินที่เพิ่มขึ้น  แต่จำเลยตกลงรับโอนกรรมสิทธิ์โดยลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินให้ผู้จะขายระบุว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์เท่ากับเป็นการกู้เงินจากผู้จะขายมาชำระราคาที่ดินในส่วนเนื้อที่เกินไปจากสัญญาจะซื้อจะขาย  โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิลงลายมือชื่อในสัญญาที่ในฐานะผู้ให้กู้ได้และผูกพันจำเลย

            หนี้เดิมเป็นการตกลงทำสัญญาจะซื้อจะชายที่ดิมกันกัน ฝ่ายจำเลยไม่มีเงินพอจะจ่ายในส่วนขอเมื่อที่ดินที่เกิน จึงตกลงทำสัญญากูริมเป็นขึ้นที่อชำระหนี้คาที่ดิมที่ดินที่เกินที่เกิน  ถือว่าเป็นการแปลงสาระสำคัญแห่งหนี้   เป็นการแปลงหนี้ใหม่จากสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินมาเป็นสัญญายืมเงินโดยผู้ให้กู้อยู่ในฐานะผู้จะขายเช่นกัน  การแปลงหนี้ใหม่ในครั้งนี้จึงมิได้เปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ จึงมีใช่การแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ที่จะต้องบังคับตามทบัญญัติว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้องจำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินให้แก่โจทก์

๖. กรณีเกี่ยวพันกับความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค

            ฎีกาที่ ๕๓๒๖/๒๕๕๐

            เช็ดพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยทั้งสามร่วมกันออกให้แก่โจทก์แลกเปลี่ยนกับเช็ดที่จำเลยทั้งสาม ร่วมกันออกให้มาโจทก์เพื่อชำระหนี้ในกู้ยืม ๓,๐๐๐๐๐๐๐๐ บาท  ที่จำเลยที่ ๒  และที่ ๓ กู้ยืมไปจากโจทก์  และโจทก์ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ กู้ยืมเงินโดยไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมไว้ ดังนั้น การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมที่จะฟ้องร้องบังคับคดีได้ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา ๔ บัญญัติว่า “ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (๑) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น…ฯลฯ เมื่อได้มีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามก็ครั้น ผู้ออกเช็คมีควนผิด…” และ ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๓ วรทหนึ่ง ซึ่งใช้ในขณะจำเลยทั้งสามร่วมกันออกเช็ด บัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”  หนี้เงินกู้ยืมและหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มีจำนวนกันกันกว่าห้าสิบบาท  เมื่อไม่มีการทำหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญแม้จะฟังว่าจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นหนี้โจทก์อยู่จริงแต่นี่นั้นก็ไม่อาจฟ้องร้องบังคับกันได้ตามกฎหมายการกระทำของจำเลยทั้งสาม จึงขาดองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา ๔

         

สอบถามกฎหมายกับผู้เชี่ยวชาญคดีเงินกู้ สอบถามคดีเงินกู้เพิ่มเติม ติดต่อ 091-047-3382 (ทนายสุริยา สนธิวงศ์)

กฎหมายหน้ารู้

เรื่องต้องรู้ก่อนฟ้องคดี

เรื่องต้องรู้ก่อนฟ้องคดี

# เป็นผู้เสียหายหรือไม่

โดยปกติศาลจะไม่รับฟ้องคดีจากใคร   หากผู้ที่นำคดีมาฟ้องไม่ได้เกี่ยวข้องเป็นผู้เสียหายในคดีนั้นๆ

#ต้องอยู่ในอายุความฟ้องคดีได้

สำหรับการฟ้องคดีต่อศาล ตามกฎหมายแล้วจะมีกฎหมายกำหนดในเรื่องของระยะเวลาที่ฝ่ายผู้เสียหายสามารถนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้  ซึ่งหากการนำคดีมาฟ้องโดยล่วงเลยระยะเวลาอายุความในการฟ้องคดีแล้ว  อาจจะส่งผลทำให้ท่านแพ้คดีนั้นๆได้

#ฟ้องคดีแล้วคุณจะได้อะไร

เป็นเรื่องที่ท่านจะต้องคิดและวิเคราะห์หรือทบทวนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าท่านมีวัตถุประสงค์ในการฟ้องคดีอย่างไร  ต้องการให้ได้รับโทษในทางคดี   หรือต้องการให้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ   และหากจะใช้สิทธิ์ในการฟ้องคดี  ท่านสามารถใช้สิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายได้มากน้อยแค่ไหน  อย่างไร  ท่านควรจะคิดตรึกตรองถึงความคุ้มค่าในการดำเนินคดีนั้นๆอีกด้วย

#ปรึกษาทนายความที่ท่านไว้วางใจ

สำหรับในการฟ้องคดีต่อศาลนั้นเป็นเรื่องใหม่สำหรับท่าน  หรือเป็นเรื่องใหม่ๆสำหรับใครบางคนที่ไม่เคยขึ้นโรงขึ้นศาลมาก่อน   ดังนั้นในเรื่องของรายละเอียด  ในเรื่องของเวลา  ในเรื่องของความคุ้มค่า  รวมทั้งสิทธิในการนำคดีมาฟ้องนั้นท่านไม่มีประสบการณ์  ทนายความจึงมีความจำเป็นที่ท่านควรเข้าพบและหารือเบื้องต้น  ทั้งนี้เพื่อคุณจะได้มีข้อมูลเพียงพอสำหรับการเตรียมตัวในการยื่นฟ้องคดีต่อศาลของท่านได้

กฎหมายหน้ารู้

ปลดหนี้เสร็จสิ้น คือสิ่งที่ฉันต้องการ

ปลดหนี้เสร็จสิ้น คือสิ่งที่ฉันต้องการ

การปลดหนี้ได้เป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน เมื่อไหร่เรายิ่งเริ่มมีความพยายามมากขึ้นแล้ว แต่ทำไมยิ่งพบแต่เรื่องยุ่งเหยิงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราจะทำอย่างไรดี
ในทัศนะของทนายความ ผมเข้าใจว่าปัจจุบันคนส่วนใหญ่มีหนี้นอกระบบมากกว่าในระบบด้วยซ้ำไป ก็เพราะทุนในระบบปล่อยสินเชื่อน้อย ยิ่งเครดิตใครเคยเสียไปแล้วก็ต้องหันมาพึ่งเงินนอกระบบกัน และเมื่อเข้าสู่ระบบนี้แล้วเมื่อไหร่ก็จะทำให้เกิดหนี้มากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวไปเรื่อยๆจนแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ไม่ได้
ดังนั้น จุดเริ่มต้นที่แก้ปัญหาเหล่านี้ได้นั้นก็คือ ท่านต้องเอาเวลาของตัวเองที่มีอยู่ไปมุ่งมั่นไปกับการทำงานและใช้เวลากับการหารายได้เสริมของตัวเองให้มากขึ้น โดยท่านควรทำงานให้เต็มความรู้และความสามารถของตัวเองก่อน ส่วนสำหรับภาระหนี้สินที่ค้างอยู่กับเจ้าหนี้ทั้งในและนอกระบบนั้น หากท่านยังไม่พร้อมทนายก็แนะนำให้ท่านบอกเจ้าหนี้ไปตรงๆได้เลยว่า ในช่วงนี้เรายังไม่พร้อม และหากพร้อมเมื่อไหร่ก็จะรีบหามาคืนให้ มีมากก็จะให้มาก หากมีน้อยก็จะให้น้อยจนเรียบร้อย
ข้อสำคัญที่แนะนำ
อย่าไปเสียเวลานั่งคิดเรื่องการวิ่งหายืมเงินจากแหล่งเงินกู้ต่างๆเพื่อนำมาคืนให้แก่เจ้าหนี้ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ท่านได้เริ่มต้นในการทำแบบนี้แล้ว จะทำให้ภาระหนี้ก้อนเล็กๆของท่านที่มีอยู่จะเติบโตขึ้นกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่ต่อมากขึ้นเรื่อยๆเป็นเงาตามตัว เนื่องจากทุกครั้งที่มีการยืมเงินแหล่งใหม่ ส่วนใหญ่ก็มาจากเงินนอกระบบ มีดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น แล้วจะเป็นสาเหตุทำให้ท่านมีหนี้สินที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลทำให้การแก้ไขปัญหาของท่านเกิดขึ้นได้ยากกว่าเดิม และที่สำคัญท่านจะใช้เวลาหมดไปกับการใช้เวลาสำหรับการวิ่งหายืมเงินจากแหล่งเงินกู้เงินยืมต่างๆในแต่ละวันเพื่อจะให้ได้เงินมาส่งคืนให้แก่เจ้าหนี้รายต่างๆของท่าน และที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ ท่านจะไม่มีเวลาในแต่ละวันที่จะหันมาใช้ความรู้ ใช้ความสามารถในเรื่องของการคิดเรื่องการทำงาน หรือไม่มีเวลาในการการคิดหาวิธีในการหารายได้เสริมของท่านและครอบครัวของท่านเลย ท้ายสุดแล้ว ท่านก็จะตกอยู่ในวังวนในเรื่องของหนี้ ชีวิตอาจจะตกอยู่ในความล้มเหลวเป็นเวลานาน แล้วจะเหลือไว้แต่เพียงหนี้สินที่จะเป็นมรดกไว้ให้แก่ลูกหลานของท่านต่อไป

ปรึกษา คลินิกแก้หนี้ โดยทนายความ สยามอินเตอร์ลอว์ /ติดต่อสื่อสาร 091-047-3382 , 02-1217414

กฎหมายหน้ารู้

อัตราดอกเบี้ยในคดีเงินกู้

อัตราดอกเบี้ยในคดีเงินกู้

               เกี่ยวกับดอกเบี้ยที่เรียกเก็บตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 654 ได้บัญญัติว่า     ” ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี  ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้นก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละ 15 ต่อปี “

                  นอกจากนี้ในกรณีที่ดอกเบี้ยมิได้กำหนดอัตราไว้โดยธรรมนิติกรรมหรือบทบัญญัติอันใดอันหนึ่งชัดแจ้ง ประมวลกฎหมายแพ่งและปริมาตรา 79 บัญญัติให้ใช้อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี 

                 จากบทบัญญัติทั้งสองมาตราดังกล่าวเป็นเรื่องของการกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดไม่ให้เกินร้อยละ 15 ต่อปี   หรือ 1.25 ต่อเดือน หรือช่างละบาทต่อเดือน และมีบทบัญญัติในกรณีไม่ระบุอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทบัญญัติชัดแจ้ง  ให้ใช้อัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้มีข้อสังเกตดังต่อไปนี้

                 ข้อสังเกตประการแรก     นอกจากบทบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว  ในทางอาญายังมีกฎหมาย    กล่าวคือ   พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพุทธศักราช 2475  ถูกจัดให้ถือเป็นความผิดทางอาญาระวังโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี   และปรับไม่เกิน 1,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งเหตุผลและเจตนารมณ์ของการร่างกฎหมายฉบับนี้จะเห็นได้จากคำแถลงการณ์คณะกรรมการราษฎรเกี่ยวกับพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพุทธศักราช 2475  หวังจะบำรุงการกู้ยืมให้เป็นไปในทางการที่ควร   และในตัวบทบัญญัติกฎหมายก็กล่าวไว้ด้วยว่า  การกู้ยืมเงินโดยอัตราดอกเบี้ยสูงเกินควรนั้น   ย่อมเป็นทางเสื่อมประโยชน์ของบ้านเมือง  สมควรจะป้องกันราษฎรมิให้ต้องเสียดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้

                 ประการที่สอง    เมื่อการกู้ยืมโดยเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด  เป็นการฝ่าฝืนทั้งกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา ก็มีผลตกเป็นโมฆะ   ซึ่งการตกลงเป็นโมฆะนี้    แนววินิจฉัยของศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นโมฆะเฉพาะข้อตกลงเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราเท่านั้น     ส่วนต้นเงินไม่โมฆะ  หนี้ตามสัญญากู้ยังคงสมบูรณ์อยู่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้โดยเฉพาะบทบัญญัติส่วนท้ายของมาตรา 654 ก็บัญญัติไว้ว่า  ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละ 15 ต่อปี

                 ประการที่สาม   ปัญหาต่อมาคือ  เมื่อถือว่ากรณีผู้กู้โดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา    ดอกเบี้ยเป็นโมฆะ  ต้นเงินยังสมบูรณ์  ผู้ให้กู้จะยังคงมีสิทธิ์คิดดอกเบี้ยได้หรือไม่  หากคิดได้  จะคิดดอกเบี้ยในอัตราเท่าใด  และมีแนวคำพิพากษาวินิจฉัยว่าคิดดอกเบี้ยกันได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี

                 แนวคำพิพากษาฎีกาในเรื่องของดอกเบี้ย

                คำพิพากษาฎีกาที่ 1100/2523  ถ้าเงินค่าเซ้งตึกที่ต้องคืนกัน 80,000 บาท  คู่กรณีตกลงกันทำเป็นสัญญากู้โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 2 ครึ่งเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นระยะเวลา 15 เดือน  เงิน 30,000 บาท  รวมเป็นสัญญากู้ 110,000 บาท  เงิน 30,000 บาทนี้เป็นมูลค่าทั้งหมด  เจ้าหนี้มีสิทธิ์ได้รับเงินคืนโดยรวมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี 

                   คำพิพากษาฎีกาที่ 4056/2528  จำเลยกู้เงินโจทก์  สัญญากู้เงินมีข้อความระบุอัตราดอกเบี้ยไว้ร้อยละ 18 ต่อปี   จึงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้  ข้อกำหนดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ  ย่อมมีผลให้โจทก์หมดสิทธิ์ที่จะเลือกเอาดอกเบี้ยตามสัญญาได้ อย่างไรก็ดี  สัญญากู้มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้  ฉะนั้นหลังจากที่โจทย์ได้แจ้งให้จำเลยทราบเพื่อทำการชำระหนี้ตามสัญญาแล้ว  จำเลยยังคงเพิกเฉยไม่ได้ปฏิบัติตามคำเรียกร้องของโจทก์  ในกรณีเช่นนี้จำเลยได้ชื่อว่าสิ่งนั้นแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นไปโจทก์ชอบที่จะเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเอาแก่จำเลยได้

                  คำพิพากษาฎีกาที่ 4010/2530  โจทก์เรียกดอกเบี้ยเงินกู้จากจำเลยในทางร้อยละ 20 ต่อปี  เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพุทธศักราช 2475  ขอกำหนดอัตราดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะ  โจทย์หมดสิทธิ์เรียกดอกเบี้ยตามสัญญา   แต่มีสิทธิ์ได้รับดอกเบี้ยโดยเหตุผิดนัดในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัด

                 ข้อสังเกต

                ฎีกาทั้ง 3 ที่ยกมานี้ศาลได้วินิจฉัยว่า  การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราเป็นโมฆะ  แต่ก็ยังเรียกดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี  เพียงแต่ฎีกาที่ 4056/2528, 4010/2510  อ้างอิงว่าเป็นการได้ดอกเบี้ยโดยเหตุผิดนัด   ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 224 ซึ่งก็เรียกได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีเหมือนกับมาตรา 7

             สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาปัญหาข้อกฎหมายผ่านทนายความคดีเงินกู้  ติดต่อ 091-047-3382 (ทนายสุริยา สนธิวงศ์)

 

กฎหมายหน้ารู้

การกู้ยืมเงินโดยรับสิ่งของแทนเงินหรือรับสิ่งของชำระหนี้เงินกู้

การกู้ยืมเงินโดยรับสิ่งของแทนเงินหรือรับสิ่งของชำระหนี้เงินกู้

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๖ วางบทบัญญัติไว้ว่า

มาตรา ๖๕๖ ถ้าทำสัญญากู้ยืมเงินกัน และผู้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนจำนวนเงินนั้นไซร้  ท่านให้คิดเป็นหนี้เงินค้างชำระโดยจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ

ถ้าทำสัญญากู้ยืมเงินกัน และผู้ให้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนในที่ก็ยืมไซร้ หนี้อันระงับไปเพราะการชำระเช่นนั้นนั้น ท่านให้คิดเป็นจำนวนเท่กับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลา และ ณ สถานที่ส่งมอบ

ความตกลงกันอย่างใดๆ ขัดกับข้อความดั่งกล่าวมานี้ ท่านว่าเป็นโมฆะ

ฎีกาที่เกี่ยวข้อง

ฎีกาที่ ๓๗๙/๒๕๒๔

จำเลยกู้เงินโจทก์  แล้วมอบนาพิพาทให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย  ในสัญญากู้มีข้อความว่า ถ้าจำเลยไม่นำเงินต้นและดอกเบี้ยมาชำระภายในหนึ่งปีนับแต่วันทำสัญญา  จำเลยยอมยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แทนเงินกู้  แต่มิได้ระบุว่าที่พิพาทมีราคาเท่าใด เท่ากับราคาในท้องตลาดในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบหรือไม่  ข้อสัญญาดังกล่าวนี้  จึงขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๖ วรรคสอง  และตกเป็นโมฆะตามวรรคสาม

ฎีกาที่ ๒๖๗/๒๕๒๔

ผู้ตายกู้ยืมเงินผู้ร้องไปโดยทำสัญญากับผู้ร้องว่า  ถ้าชำระหนี้ไม่ได้จะโอนที่ดินทั้งหมดให้แก่ผู้ร้องเป็นการชำระหนี้แทน  เป็นการตกลงกันให้เอาทรัพย์สินชำระหนี้แทนเงินกู้ยืม  โดยมิได้คำนึงถึงราคาทรัพย์สินในเวลาและสถานที่ส่งมอบ  ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๖ วรรคสอง ตกเป็นโมฆะตามวรรคสาม ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิบังคับให้มีการโอนที่ดินมรดกเป็นการชำระหนี้แก่ผู้ร้องโดยเจาะจง คงมีแต่สิทธิขอให้บังคับชำระหนี้อันเป็นสิทธิของเจ้าหนี้โดยทั่วไป

ผู้มีสิทธิร้องขอต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกนั้น  ถ้ามิใช่ทายาทหรือพนักงานอัยการก็จะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสีย  ซึ่งหมายความว่า บุคคลผู้นั้นเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทางมรดกหรือในทางพินัยกรรมหรือเกี่ยวกับทรัพย์สินในกองมรดก ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้มิใช่เป็นผู้ที่จะได้ประโยชน์ถ้าหากกองมรดกมีผู้จัดการมรดก หรือเสียประโยชน์  ถ้าหากกองมรดกไม่มีผู้จัดการมรดก  คดีนี้ผู้ตายยังมีทายาทอยู่ถึงเมือมีมีจัดการมรดก ผู้ร้องก็สามารมฟ้องร้องบังคับช้าระหนี้ได้ ผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้มีส่วนใด้เสียซึ่งเป็นพื้นที่สิทธิร้องขอต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกของผู้ตาย

ฎีกาที่ ๒๕๕๙/๒๕๒๒

การที่ผู้ให้กู้และผู้กู้ตกลงกันในสัญญากู้ยืมเงินว่า  ผู้ให้กู้ยินยอมรับเอาสิ่งหรือทรัพย์สินอย่างอื่นชำระแทนจำนวนเงิน  โดยไม่คำนึงถึงราคาท้องตลาดแห่งทรัพย์สินหรือสิ่งของในเวลา สถานที่ที่ส่งมอบนั้น  ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการขัดต่อมาตรา ๖๕๒๖ วรรคสอง  จึงตกเป็นโมฆะ ผู้กู้ต้องใช้เงินตามสัญญา

ฎีกาที่ ๓๕๑/๒๕๒๒

กู้เงินมีข้อสัญญาว่า  ถ้าไม่ใช้เงินคืนตามกำหนดยอมโอนที่ดินตามโฉนดชำระหนี้ให้โดยไม่คำนึงถึงราคาที่ดิน ฝ่าฝืน มาตรา ๖๕๖ วรรค ๒,๓  บังคับให้โอนที่ดินชำระหนี้ไม่ได้

 

สอบถามกฎหมายกับผู้เชี่ยวชาญคดีเงินกู้ สอบถามคดีเงินกู้เพิ่มเติม ติดต่อ 091-047-3382 (ทนายสุริยา สนธิวงศ์)

 

กฎหมายหน้ารู้

การคิดดอกเบี้ย

การคิดดอกเบี้ย

ดอกเบี้ยนั้นเป็นผลตอบแทนประเภทหนึ่งของสัญญากู้ยืมเงิน     แต่ไม่ได้หมายความว่าสัญญากู้ยืมเงินกลายเป็นสัญญาต่างตอบแทนไป  สัญญากู้ยืมเงินก็ยังคงหลักการของเอกเทศสัญญาในเรื่องยืมอยู่  กล่าวคือ  เป็นเรื่องการเอื้อเฟื้อกันและเป็นเรื่องทางอัธยาศัยไมตรีต่อกัน     ดังนั้นจึงมีความเห็นตามกฎหมาย   ว่าการกู้ยืมเงินกันนั้นจะไม่มีดอกเบี้ย  เว้นแต่ จะได้มีการตกลงกันเอาไว้พลาดแต่ตกลงกู้ยืมเงินกันโดยไม่ได้กล่าวถึงดอกเบี้ย  พูดให้ยืมก็เรียกดอกเบี้ยไม่ได้ ก็บัญญัติขึ้นต้นว่า  ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กัน

ดังนั้น จะต้องตกลงเรื่องดอกเบี้ยกันไว้ก่อน  แต่การตกลงเรื่องดอกเบี้ยกันนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นการตกลงกันโดยชัดแจ้ง  อาจจะเป็นการตกลงกันโดยปริยายก็ได้  ดอกเบี้ยนั้นอาจจะไม่ใช่เงินตราก็ได้ อาจเป็นทรัพย์สินอื่น เช่น การให้ทำนาต่างดอกเบี้ย  การคิดเอาผลผลิตเป็นดอกเบี้ยเป็นต้น

                 คำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง

คำพิพากษาฎีกาที่มี 159/2513   โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยยอมให้โจทก์ได้ทำนาต่างดอกเบี้ย หรือมิฉะนั้นให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี  ดังนี้โจทย์จะมีสิทธิ์ทำนาได้ก็แต่โดยจำเลยยินยอม  เมื่อจำเลยไม่ยินยอมให้โจทก์ทำนาและเอาที่นาคืนไปทำเองแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิ์ติดตามเอาคืน ด.เจ้ามรดกกู้เงินโจทก์ตกลงจะให้ดอกเบี้ย  ดอกเบี้ยที่ตกลงให้ก็คือให้โจทก์ทำนาต่างดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินนับแต่วันผิดนัดในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี  ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดวันใดก่อน  โจทก์ฟ้องศาลคิดคำนวณให้จากวันฟ้อง

 คำพิพากษาฎีกาที่ 3775/2546    สัญญากู้เงินและสัญญาจำนองเป็นนิติกรรมคนละประเภทที่สามารถแยกออกจากกันได้  โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงิน  เมื่อสัญญากู้เงินไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานย่อมไม่อาจนำเอาอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ในสัญญาจำนองมาบังคับการกู้เงินรายนี้ได้

คำพิพากษาฎีกาที่ 9866/2574    การกู้ยืมเงินเกินกว่า 50 บาทขึ้นไปกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานหลักฐานมาแสดง  (กฎหมายเดิมก่อนแก้ไข ) เมื่อสัญญากู้ไม่ได้ระบุข้อกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้  จึงต้องฟังว่าสัญญากู้ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ย  ดังนั้นการที่โจทก์นำพยานบุคคลมาเบิกความว่าสัญญากู้เงินมีก็จะลงให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16 ต่อปี   จึงเป็นการนำสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสารหรือประกอบข้ออ้างว่ายังมีข้อความเพิ่มเติมหรือแก้ไขข้อความในเอกสาร  คำพยานของโจทก์จึงต้องห้ามมิให้รับฟังตามมาตรา 94 (ข) เพียงอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีเท่านั้น

บันทึกข้อตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยระหว่างโจทก์กับจำเลยกำหนดอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ตามเอกสารแนบท้ายฎีกานั้น  โจทย์ไม่ได้นำเศษแสดงพยานหลักฐานดังกล่าวในชั้นพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น  และเป็นเอกสารที่มีอยู่ในความครอบครองรู้เห็นของโจทก์อยู่ก่อนแล้ว  การที่จะนำเสนอเอกสารดังกล่าวในชั้นนี้ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาฎีกาที่ 5442/2551  ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์หลายครั้งรวม 50,000 บาท  ต่อมาจึงได้ทำหลักฐานการกู้ยืมเงินนอกให้โจทก์ไว้      หลักฐานการกู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ปรากฏข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ย    การที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีทุกเดือน จึงเป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมข้อความในเอกสารต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94  ฟังไม่ได้ว่าจำเลยตกลงให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์    โจทก์เรียกดอกเบี้ยจากจำเลยนับแต่วันที่ทำสัญญาไม่ได้

คำพิพากษาฎีกาที่ 2762/2549 โจทย์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญาให้จำเลยกู้ยืมเงิน 2 ครั้งรวมเป็นเงิน 180,000 บาท  โดยสัญญากู้ยืมเงินแต่ละฉบับตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในตราร้อยละ 5 ต่อเดือน  แต่ในสัญญากู้ยืมเงินทั้ง 2 ฉบับระบุว่า  โจทก์มีสิทธิ์คิดดอกเบี้ยได้ตามกฎหมาย  ดังนั้นเมื่อสัญญากู้ยืมเงินทั้งสองฉบับดังกล่าวไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยชัดแจ้ง  ย่อมต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กู้ซึ่งเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้     โจทก์ในฐานะผู้ให้กู้จึงมีสิทธิ์คิดดอกเบี้ยในการร้อยละ 7.5 ต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งไทยพาณิชย์มาตรา 7     จึงต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบเปลี่ยนแปลงข้อความในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวว่าได้มีการตกลงกันด้วยวาจาให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 (ข)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาปัญหาข้อกฎหมายผ่านทนายความคดีเงินกู้  ติดต่อ 091-047-3382 (ทนายสุริยา สนธิวงศ์)

กฎหมายหน้ารู้

กรณีที่ถือว่าไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืม

กรณีที่ถือว่าไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืม

ศาลฎีกาได้วางแนวคำพิพากษาตัดสินคดีเอาไว้ว่า กรณีดังกล่าวเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม

ตัวอย่าง

คำพิพากษาฎีกาที่ 530/2522     ผู้ขอรับชำระหนี้ขอรับชำระหนี้เงินที่จำเลยกู้ยืมผู้ขอรับชำระหนี้ไป  แต่การกู้เงินนั้นจังเลยไม่ได้ทำหลักฐานในการกู้เงินเป็นหนังสือให้ผู้ขอรับชำระหนี้ยึดถือไว้  จำเลยเพียงแต่ออกเช็คให้ผู้ขอรับชำระหนี้ยึดถือไว้เท่านั้น     เช็คที่จำเลยออกให้ผู้ขอรับชำระหนี้ยึดถือไว้ไม่มีคำว่ากู้   หรือยืม  และข้อความในเช็คก็ไม่มีเขาว่าเป็นการกู้ยืม     สภาพของเช็คก็เป็นการใช้เงินไม่ใช่การกู้ยืม   เช็คที่จำเลยออกให้ผู้ขอรับชำระหนี้จึงไม่ใช่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม    เมื่อผู้ขอรับชำระหนี้ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือโรงแรมชื่อจำเลยผู้กู้มาแสดง  หนี้ที่ขอรับชำระหนี้จึงเป็นหนี้ที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653

คำพิพากษาฎีกาที่ 3010/2525  ฎีกาโจทก์ที่ว่าสัญญาขายฝากตามฟ้องเป็นสัญญาที่ทำขึ้นทำตามสัญญากู้เงิน  จึงใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินตามเจตนาเดิมได้นั้น  โจทก์ไม่ได้ยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นบรรยายเป็นประเด็นไว้ในฟ้อง  และศาลชั้นต้นมิได้ตั้งประเด็นวินิจฉัยมา  จึงไม่ใช่เป็นข้อที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น  ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

หนังสือสัญญาขายฝากที่ดินเป็นหลักฐานในการขายฝากที่ดินหาใช้เป็นหลักฐานในการกู้ยืมไม่  โจทก์จะเอาสัญญาขายฝากมาฟ้องอ้างว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 ไม่ได้

คำพิพากษาฎีกาที่ 2553/2525   เช็คที่จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายไม่เป็นหลักฐานว่าจำเลยกู้เงินตามฟ้องของโจทก์  เอกสารฉบับหนึ่งมีใจความว่าเรียนคุณจิรพงษ์ที่นับถือ .ผมต้องขอโทษอีกครั้งที่ทำให้คุณและคุณศิริต้องยุ่งยากเกี่ยวกับเงินที่ค้างอยู่ทางผม  เวลานี้ผมกำลังขัดสนจริงๆกำหนดเวลาที่ผมจะจัดการเรื่องของคุณและคุณศิริคงไม่เกินวันที่ 1 พฤศจิกายน ศกนี้  และอีกฉบับหนึ่งถึงทนายโจทก์มีใจฟังว่า  เพื่อนขอให้ชำระหนี้นั้นซักแล้วแต่เพราะป่วยเป็นอัมพาตจึงต้องขอความกรุณาครับผ่อนชำระหนี้หลังจากที่ได้หายป่วยแล้ว      ดังนี้  ข้อความตามเอกสารทั้งสองฉบับในการขอบัตรผ่อนการชำระหนี้แต่จะเป็นหนี้เกี่ยวกับอะไรจำนวนเท่าใดไม่ปรากฏ    ไม่มีข้อความตอนใดแสดงว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ตามฟ้อง   จึงไม่ใช่หนังสืออันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม

คำพิพากษาฎีกาที่ 3809/2526   ตอนบนของเอกสารมีชื่อและนามสกุลของจำเลย  ถัดไปเป็นรายการลงวันเดือนปีและข้อความว่าเอาเงินกับจำนวนเงินต่างๆกัน รวม 12 รายการ  อีก 5 รายการมีข้อความว่า ข้าวสาร และลงจำนวนไว้ว่า 1 กระสอบบ้าง  1 ถังบ้าง   3 ถังบ้าง ได้ทุกรายการมีชื่อจำเลยลงกำกับไว้เอกสารดังกล่าวไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653

คำพิพากษาฎีกาที่ 2757/2528   เช็คที่จำเลยโรงแรมมือชื่อผู้สั่งจ่ายมอบให้แก่โจทก์ก็ดี หรือเช็คที่ตรวจออกให้แก่จำเลยและจำเลยนำไปรับเงินแล้วก็ดี  ไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653

ความในเอกสารมีว่าคุณอาจิน (โจทก์) ที่นับถือ ผม( จำเลย)  ให้สุภาพรมาหา ผมกำลังวิ่งหาซื้อของจะขึ้นไปหน่วยงานที่ผมเรียนไว้เมื่อเช้าว่าจะเอาคืนก่อน 400,000 บาท  ขอให้คุณอาจินจ่ายธนาคารเอเชียทรัสต์ ผมจะให้คุณสุรพลไปทำแคชเชียร์เช็คจากธนาคาร  เช่นนี้  ไม่มีข้อความตอนใดพอที่จะแสดงว่ามีการกู้ยืมเงินกันและจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์  จะใช้เงินคืนให้โจทก์  เอกสารดังกล่าวจึงไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืม

 

สอบถามคดีเงินกู้กับทนายความผู้เชี่ยวชาญคดีเงินกู้ ติดต่อ 091-047-3382 (ทนายสุริยา สนธิวงศ์)

กฎหมายหน้ารู้

กรณีถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม

กรณีถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม

หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน ที่สามารถบังคับได้ตามกฎหมาย  มีตัวอย่างดังต่อไปนี้

คำพิพากษาฎีกาที่ 1567/2499   คำรับสภาพหนี้ในใบบันทึกการเปรียบเทียบของอำเภอ  ซึ่งจำเลยลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานแสดงการกู้ยืมเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653  หรือสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินได้

คำพิพากษาฎีกาที่ 65/2507  หนังสือ ไอ โอ ยู  เป็นหลักฐานการยืมเงินซึ่งลูกหนี้ทำให้เจ้าหนี้เก็บไว้  เมื่อไม่มีหลักฐานแสดงว่าลูกหนี้ได้ชำระหนี้นั้นแล้ว  ต้องถือว่าลูกหนี้ยังเป็นหนี้อยู่ตามเอกสารนั้น

คำพิพากษาฎีกาที่ 644/2509  บันทึกประจำวันของพนักงานสอบสวนที่มีข้อความชัดแจ้งว่า  จำเลยรับรองว่าได้กู้ยืมเงินของโจทก์ไปจำนวนเท่านั้นเท่านี้จริง  และจำเลยได้ลงชื่อไว้ใช้บันทึกนั้นด้วย  แม้จะเป็นเรื่องพนักงานสอบสวนเรียกไปไกล่เกลี่ยในทางอาญาก็ตาม ก็ใช้บันทึกนั้นเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้

คำพิพากษาฎีกาที่ 215/2510  จำเลยและภรรยาได้จดทะเบียนหย่ากันที่อำเภอและได้ให้ถ้อยคำในใบบันทึกหลังทะเบียนหย่าต่อนายทะเบียนว่า  ภรรยาจำเลยได้ยืมเงินจากโจทก์มายังไม่ได้คืน  จำเลยและภรรยาได้ลงลายมือชื่อรับรองว่าเป็นบันทึกถูกต้อง  ดังนั้นบันทึกหลังทะเบียนหย่า    ถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653  โจทก์นำหลักฐานนั้นมาฟ้องเรียกหนี้อันเกิดจากกู้ยืมได้

คำพิพากษาฎีกาที่ 483/2510 จำเลยมีจดหมายถึงโจทก์มีใจความว่าไม่ต้องการรบกวนตรวจอีก  เขายังไม่ใช้จะเอาใหม่อีกจำเลยละหายใจเพียงเท่านี้ไม่ใช่หลักฐานแห่งเพราะไม่ระบุจำนวนเงินจำนวนนั้นไม่ได้   ต่อมาตรวจส่งครับไปให้จำเลย  จำเลยมีจดหมายตอบว่าได้รับดราฟแล้วและต่อมาจำเลยมีจดหมายอีก 2 ฉบับถึงโจทก์ยืนยันว่าจะใช้เงินที่ยืมให้จดหมายทั้งหมดประกอบกันเป็นหลักฐานเป็นหนังสือแห่งสัญญากู้ยืม  โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินจำนวนหลังนี้ได้

คำพิพากษาฎีกาที่ 682, 863 /2520   การที่นิติกรรมสัญญาขายฝากทางขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมสัญญากู้ยืมเงิน  นิติกรรมอันแรกคือสัญญาขายฝากย่อมเป็นการแสดงเจตนาหลวงด้วยสมรู้กันระหว่างคู่กรณีที่จะไม่ผูกพันกันตามเจตนาที่แสดงออกมานั้น   วิธีการอ่านและที่พักบนออกมานั้นย่อมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 118 วรรคแรก  ส่วนนิติกรรมอันหลังคือ สัญญากู้เงินที่ถูกอำพรางไว้โดยนิติกรรมอันแรกต้องบังคับตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยนิติกรรมอันที่ถูกนำไปตามมาตรา 118 วรรค 2  ในกรณีเช่นนี้  แม้นิติกรรมสัญญากู้เงินจะไม่ได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้กู้เป็นสำคัญต่างหากจากสัญญาขายฝากก็ตาม     แต่ก็ถือได้ว่าเอกสารการขายฝากเป็นนิติกรรมสัญญากู้เงินที่ทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษร     มีผลบังคับได้

 

สอบถามปัญหาข้อพิพาทการกู้เงิน กับทนายความผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ติดต่อ 091-047-3382 (ทนายสุริยา สนธิวงศ์) สำนักงานกฎหมายสยามอินเตอร์ลอว์ ถนนบางนา- ตราด (สมุทรปราการ)

กฎหมายหน้ารู้