หลักเกณฑ์การขอปล่อยตัวชั่วคราว

หลักเกณฑ์การขอปล่อยตัวชั่วคราว

การขอปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) เป็นสิทธิที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยสามารถยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอให้ออกจากการควบคุมตัวระหว่างรอการพิจารณาคดี โดยมีหลักเกณฑ์พิจารณาดังนี้:

  1. ลักษณะของคดี – ศาลจะพิจารณาว่าคดีนั้นมีความร้ายแรงเพียงใด หากเป็นคดีอาญาร้ายแรง เช่น คดียาเสพติดหรือฆาตกรรม อาจพิจารณาอย่างรอบคอบยิ่งขึ้น
  2. พฤติการณ์ของผู้ต้องหา/จำเลย – พิจารณาความน่าเชื่อถือว่าจะไม่หลบหนี ไม่ไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และไม่เป็นอันตรายต่อสังคม
  3. หลักทรัพย์ประกัน – ผู้ยื่นคำร้องจะต้องเสนอหลักทรัพย์ เช่น เงินสด โฉนดที่ดิน หรือพันธบัตรรัฐบาล เพื่อค้ำประกันการมาศาลตามนัด
  4. เหตุผลและความจำเป็น – อาจยื่นคำร้องพร้อมเหตุผล เช่น ต้องดูแลครอบครัว หรือมีภาระงานสำคัญ

 

หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุสมควรและไม่มีความเสี่ยง ผู้ต้องหาหรือจำเลยก็อาจได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขที่ศาลกำหนด เช่น ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ หรือรายงานตัวตามกำหนด

———————————————————————————————————————-

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

โทร : 02-1217414 ,091-0473382      Line : https://page.line.me/379vfaui

พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

โดนฟ้องคดีควรทำอย่างไร

การถูกฟ้องคดีไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา อาจสร้างความตื่นตระหนกและวิตกกังวลให้กับใครหลายคน โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทางกฎหมายมาก่อน แต่สิ่งสำคัญที่สุดในช่วงเวลานั้นคือ “ตั้งสติ” และ “ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง” เพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม

  1. ตั้งสติและตรวจสอบเอกสาร

–  ใครเป็นผู้ฟ้อง

–  ฟ้องเรื่องอะไร

–  ศาลไหนเป็นผู้รับผิดชอบ

–  วันนัดไต่สวนหรือนัดพิจารณาคือวันไหน

หากไม่แน่ใจว่าเอกสารที่ได้รับเป็นของจริงหรือไม่ สามารถติดต่อสอบถามที่ศาลตามที่ระบุในเอกสารได้ทันที

  1. อย่าเพิกเฉยต่อหมายศาล

การเพิกเฉยหรือไม่ไปศาลตามนัด อาจทำให้เสียเปรียบอย่างมาก เช่น ศาลอาจพิพากษาโดยไม่ต้องฟังคำชี้แจงของคุณ (ในคดีแพ่ง) หรือออกหมายจับ (ในคดีอาญา) ดังนั้น หากได้รับหมายศาล ต้องไปตามนัดทุกครั้ง

  1. หาทนายความหรือขอคำปรึกษาทางกฎหมาย

หากไม่เข้าใจในเนื้อหาคำฟ้องหรือไม่รู้จะตอบสู้คดีอย่างไร ควรหาทนายความเพื่อขอคำแนะนำหรือว่าความแทน

ถ้าไม่สามารถว่าจ้างทนายเองได้ อาจติดต่อ สำนักงานอัยการ, สำนักงานกฎหมาย Legal Aid, หรือ ศูนย์ช่วยเหลือทางกฎหมาย เพื่อขอความช่วยเหลือฟรี

  1. รวบรวมพยานหลักฐาน

หากคุณมีหลักฐานที่สามารถใช้ต่อสู้คดี เช่น เอกสาร ข้อความ พยานบุคคล หรือหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ ควรเริ่มเก็บรวบรวมให้พร้อมเพื่อส่งมอบให้ทนาย หรือใช้ประกอบการต่อสู้ในชั้นศาล

  1. ไปรับฟังคำพิจารณาตามนัดของศาล

เมื่อถึงวันนัดของศาล ต้องเดินทางไปตามเวลาที่กำหนด แต่งกายสุภาพ และให้ความเคารพต่อกระบวนการพิจารณา หากมีทนายควรไปพร้อมกัน และหากศาลมีคำสั่งใด ๆ ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

  1. หากแพ้คดี มีสิทธิอุทธรณ์ (ในบางกรณี)

หากศาลมีคำพิพากษาที่ไม่เป็นผลดีต่อคุณ และยังอยู่ในกรอบที่กฎหมายอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาได้ ควรรีบปรึกษาทนายความทันทีเพื่อพิจารณาแนวทางต่อไป

 

การโดนฟ้องคดีไม่ใช่จุดจบของชีวิต สิ่งสำคัญที่สุดคือการตั้งสติ ไม่เพิกเฉย และดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการหาทนาย ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ รวบรวมหลักฐาน หรือไปรับฟังคำพิจารณาตามกำหนด ยิ่งเตรียมตัวดีเท่าไร โอกาสในการแก้ไขปัญหาก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

———————————————————————————————————————————–

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

โทร : 02-1217414 ,091-0473382      Line : https://page.line.me/379vfaui

พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

การทำสัญญารับสภาพหนี้

 การรับสภาพหนี้ หมายถึง การที่ลูกหนี้หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งยอมรับว่าเป็นหนี้ของเจ้าหนี้ตามจำนวนและเงื่อนไขที่ตกลงกัน ซึ่งอาจเป็นการยอมรับหนี้เดิมที่เคยมีอยู่ หรือหนี้ที่เป็นข้อพิพาทกันมาก่อน โดยมีการจัดทำเป็นหนังสือสัญญาอย่างเป็นทางการ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการบังคับตามกฎหมายได้

ลักษณะสำคัญของสัญญารับสภาพหนี้

  1. เป็นหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อความชัดเจนและสามารถใช้เป็นหลักฐานได้ตามกฎหมาย
  2. มีการระบุจำนวนหนี้ และรายละเอียดของหนี้อย่างชัดเจน เช่น วันที่เกิดหนี้ ดอกเบี้ย การชำระหนี้ ฯลฯ
  3. มีเจตนาในการชำระหนี้ ลูกหนี้ต้องแสดงเจตนาอย่างแน่นอนว่าตนยอมรับภาระหนี้นั้น
  4. มีผลทางกฎหมาย เมื่อลูกหนี้ลงนามรับสภาพหนี้แล้ว เจ้าหนี้สามารถยื่นฟ้องศาลเพื่อบังคับคดีได้ตามสัญญานั้น

วัตถุประสงค์ของการรับสภาพหนี้

  • เพื่อยืนยันความเป็นหนี้ของลูกหนี้
  • เพื่อป้องกันการปฏิเสธความรับผิดในอนาคต
  • เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี
  • เพื่อเป็นแนวทางในการเจรจาประนอมหนี้หรือขยายระยะเวลาชำระหนี้

ข้อควรระวังในการทำสัญญารับสภาพหนี้

  • ควรระบุรายละเอียดให้ชัดเจน ครบถ้วน เช่น ชื่อผู้เกี่ยวข้อง จำนวนหนี้ วันครบกำหนด
  • ควรตรวจสอบเอกสารต้นฉบับ เช่น สัญญากู้ยืมเดิม ใบเสร็จรับเงิน ฯลฯ
  • ควรมีพยานในการลงนาม หรือให้ทนายความเป็นผู้ร่างสัญญา
  • หากมีข้อสงสัยในข้อกฎหมาย ควรปรึกษาทนายความก่อนลงนาม

 

สัญญารับสภาพหนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้อย่างชัดเจน มีผลทางกฎหมายที่สามารถนำไปใช้ฟ้องร้องหรือบังคับคดีได้ ดังนั้นการทำสัญญารับสภาพหนี้ควรดำเนินการอย่างรอบคอบ เพื่อให้สิทธิของทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสม

———————————————————————————————————

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

โทร : 02-1217414 ,091-0473382      Line : https://page.line.me/379 vfaui

พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

การซื้อทรัพย์จาก กรมบังคับคดี ในราคาต่ำกว่าไฟแนนซ์เดิม

        การซื้อทรัพย์จาก กรมบังคับคดี ในราคาต่ำกว่าไฟแนนซ์เดิมเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในบางกรณี โดยเฉพาะเมื่อตลาดประมูลมีการแข่งขันน้อย หรือทรัพย์นั้นมีเงื่อนไขพิเศษบางอย่าง ซึ่งข้อควรรู้และสิ่งที่ควรระวังมีดังนี้:

  1. เข้าใจขั้นตอนของกรมบังคับคดี ทรัพย์จะถูกขายผ่านการประมูล ซึ่งใครให้ราคาสูงสุดก็จะได้ไป    ราคาประเมินของกรมบังคับคดีอาจต่ำกว่าราคาตลาด และหากไม่มีผู้ร่วมประมูลมาก ราคาก็อาจจะถูกลงเรื่อย ๆ ตามรอบ  บางกรณีทรัพย์อาจขายทอดตลาดไม่หมดในหลายรอบ ทำให้ราคาลดลงได้มาก
  2. ไฟแนนซ์เดิมคืออะไร “ไฟแนนซ์เดิม” หมายถึงยอดหนี้สินที่เจ้าของเดิมกู้ไว้กับสถาบันการเงิน   ในบางครั้งยอดหนี้ที่ค้างอยู่ (รวมดอกเบี้ย) อาจสูงกว่าราคาทรัพย์ในตลาด   กรมบังคับคดีไม่สนใจยอดหนี้เดิม แต่จะขายตามกระบวนการประมูล
  3. กรณีที่ซื้อได้ถูกกว่าไฟแนนซ์เดิม หากเจ้าของเดิมกู้ในราคาสูงเกินมูลค่าทรัพย์ หรือมีการผิดนัดชำระหนี้มานาน ดอกเบี้ยพอกพูน   ผู้ซื้อที่ประมูลได้ไม่ต้องรับผิดชอบยอดหนี้เดิม (หากทรัพย์เป็นอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้านหรือที่ดิน)
  4. ข้อควรระวัง

–  ตรวจสอบทรัพย์ก่อน: บางทรัพย์มีคนอยู่ หรือมีข้อพิพาท

–  ค่าธรรมเนียม/ค่าใช้จ่ายหลังประมูล เช่น ค่าโอน ภาษี และค่ารื้อถอน (หากมีสิ่งปลูกสร้างที่ต้องรื้อ)

  1. เคล็ดลับ

–  เลือกทรัพย์ที่ไม่มีผู้อยู่อาศัย หรือไม่มีปัญหากฎหมาย

– ตรวจสอบทรัพย์หลายรอบก่อนวันประมูลจริง

– หากเป็นมือใหม่ แนะนำให้ใช้บริการของผู้เชี่ยวชาญ หรือพาเพื่อนไปด้วย

————————————————————————————————————————

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

โทร : 02-1217414 ,091-0473382      Line : https://page.line.me/379vfaui

พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

การเจรจาหนี้ในขั้นบังคับคดี

        การเจรจาหนี้ในขั้นบังคับคดี คือกระบวนการที่ลูกหนี้เจรจากับเจ้าหนี้เพื่อหาทางตกลงชำระหนี้ แม้จะมีคำพิพากษาแล้วและอยู่ในขั้นตอนที่เจ้าหนี้สามารถบังคับคดีได้ เช่น ยึดทรัพย์หรืออายัดเงินเดือน ซึ่งขั้นตอนการเจรจามักเป็นไปตามนี้:

ขั้นตอนการเจรจาหนี้ชั้นบังคับคดี

  1. ตรวจสอบสถานะคดี

– ตรวจสอบว่าคดีถึงชั้นบังคับคดีแล้วหรือยัง

– ตรวจสอบหมายเลขคดีและรายละเอียด เช่น ยอดหนี้ ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ผ่านเว็บไซต์ของกรมบังคับคดี

  1. ติดต่อเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี

– ไปที่สำนักงานบังคับคดีที่รับผิดชอบ

– นำเอกสาร เช่น บัตรประชาชน หมายศาล คำพิพากษา หรือหนังสือแจ้งหนี้

  1. ยื่นคำร้องขอเจรจาไกล่เกลี่ย

– กรอกแบบฟอร์มขอเจรจาหนี้

– ระบุข้อเสนอ เช่น ขอผ่อนชำระ ลดดอกเบี้ย หรือขอเลื่อนการบังคับคดี

  1. เจ้าหน้าที่จัดการนัดหมายไกล่เกลี่ย

– มีการนัดไกล่เกลี่ยระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้

– หากตกลงกันได้ จะมีการลงบันทึกข้อตกลง

  1. ดำเนินการตามข้อตกลง

– ลูกหนี้ต้องปฏิบัติตามข้อตกลง เช่น ชำระเงินตามงวด

– หากผิดนัดอีก เจ้าหนี้สามารถดำเนินการบังคับคดีต่อได้

  1. หากตกลงกันไม่ได้

– เจ้าหนี้อาจดำเนินการยึดทรัพย์ อายัดเงินเดือน หรือทรัพย์สินอื่นตามกฎหมาย

————————————————————————————————————————-

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

โทร : 02-1217414 ,091-0473382      Line : https://page.line.me/379vfaui

พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

ผู้จัดการมรดก

ผู้จัดการมรดก คือ บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาล หรือจากพินัยกรรมของผู้ตาย เพื่อทำหน้าที่จัดการทรัพย์สินของผู้ตายให้เสร็จสิ้นก่อนแบ่งให้ทายาท เช่น การชำระหนี้ จัดเก็บทรัพย์สิน ขายทรัพย์บางส่วนเพื่อชำระภาระ และจัดแบ่งมรดกให้ถูกต้องตามกฎหมาย

การแต่งตั้งผู้จัดการมรดก

  1. แต่งตั้งผ่านพินัยกรรม หากผู้ตายได้ทำพินัยกรรมไว้ และระบุชื่อผู้จัดการมรดก ศาลจะพิจารณาตามความประสงค์นั้น
  2. แต่งตั้งโดยศาล หากไม่มีพินัยกรรม ทายาทสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก โดยศาลจะพิจารณาว่าใครเหมาะสม เช่น คู่สมรส บุตร หรือญาติใกล้ชิด

หน้าที่ของผู้จัดการมรดก

  • จัดทำบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ตาย
  • จัดการทรัพย์สิน เช่น เก็บรักษา ขายทรัพย์บางรายการ (ถ้าจำเป็น)
  • ชำระหนี้สินของผู้ตาย
  • จัดสรรทรัพย์สินตามพินัยกรรมหรือกฎหมาย
  • จัดทำบัญชีแสดงการจัดการเสนอต่อศาล
  • ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ทายาทหรือผู้มีสิทธิ

คุณสมบัติของผู้จัดการมรดก

  • บรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปีขึ้นไป)
  • ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถทางกฎหมาย
  • มีความซื่อสัตย์สุจริต และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างรอบคอบ

ความสำคัญของผู้จัดการมรดก

การมีผู้จัดการมรดกที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว ทำให้กระบวนการจัดการมรดกเป็นไปตามกฎหมายและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อีกทั้งยังสามารถป้องกันการยักยอกหรือสูญหายของทรัพย์สินได้อีกด้วย

 

“ผู้จัดการมรดก” คือฟันเฟืองสำคัญในการบริหารและแบ่งปันทรัพย์สินของผู้ตายให้เป็นไปอย่างถูกต้อง การเลือกผู้จัดการมรดกที่เหมาะสม หรือทำพินัยกรรมกำหนดไว้ล่วงหน้า จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเมื่อทรัพย์สินมีจำนวนมาก หรือมีทายาทหลายฝ่าย

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

โทร : 02-1217414 ,091-0473382      Line : https://page.line.me/379vfaui

พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

ผิดสัญญาหุ้นส่วน

    การผิดสัญญาหุ้นส่วนหมายถึงกรณีที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญาหุ้นส่วน ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่หุ้นส่วนอีกฝ่ายหรือกิจการที่ร่วมลงทุนกัน โดยอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา

สาเหตุของการผิดสัญญาหุ้นส่วน

  1.  ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญา – หุ้นส่วนฝ่ายหนึ่งอาจละเลยหรือจงใจไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ เช่น ไม่ลงทุนตามกำหนดหรือไม่แบ่งปันผลกำไรตามสัดส่วนที่ตกลงกันไว้
  2. ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ – หุ้นส่วนอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือดำเนินธุรกิจที่ขัดกับข้อตกลงในสัญญา
  3. การบริหารงานผิดพลาด – การตัดสินใจที่ไม่รอบคอบหรือการดำเนินกิจการโดยขาดความโปร่งใสอาจส่งผลให้เกิดปัญหาทางการเงินและความไม่ไว้วางใจระหว่างหุ้นส่วน
  4. การละเมิดข้อตกลงด้านความลับทางธุรกิจ – หุ้นส่วนอาจนำข้อมูลที่เป็นความลับไปใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือเปิดเผยต่อบุคคลภายนอก
  5. เหตุสุดวิสัย – ปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ โรคระบาด หรือภัยธรรมชาติ อาจส่งผลให้หุ้นส่วนไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงได้

ผลกระทบของการผิดสัญญาหุ้นส่วน

         ความเสียหายทางการเงิน – อาจมีการสูญเสียรายได้ หรือต้องชดใช้ค่าเสียหายตามกฎหมาย

         ความเสียหายต่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจ – ทำให้เกิดความขัดแย้งภายในบริษัท ส่งผลต่อชื่อเสียงและความไว้วางใจระหว่างหุ้นส่วน

ผลทางกฎหมาย – อาจถูกฟ้องร้อง หรือถูกบังคับให้ชดใช้ค่าเสียหายตามที่กฎหมายกำหนด

แนวทางแก้ไขและป้องกันการผิดสัญญาหุ้นส่วน

  1. จัดทำสัญญาให้รัดกุม – ควรมีการระบุข้อตกลงที่ชัดเจน ครอบคลุม และสามารถบังคับใช้ทางกฎหมายได้
  2. กำหนดกลไกการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท – อาจมีการกำหนดขั้นตอนการไกล่เกลี่ยก่อนที่จะดำเนินคดีทางกฎหมาย
  3. ตรวจสอบความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ – ควรมีการตรวจสอบบัญชีและการบริหารงานอย่างสม่ำเสมอ
  4. กำหนดบทลงโทษที่ชัดเจน – การระบุค่าปรับหรือมาตรการบังคับหากมีการผิดสัญญาจะช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาดังกล่าว
  5. เลือกหุ้นส่วนที่เหมาะสม – ควรพิจารณาคุณสมบัติและความน่าเชื่อถือของหุ้นส่วนก่อนทำสัญญา

          การผิดสัญญาหุ้นส่วนเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจในระยะยาว ดังนั้น การป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงเป็นสิ่งสำคัญ การกำหนดข้อตกลงที่ชัดเจน การรักษาความโปร่งใส และการจัดการข้อพิพาทอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้หุ้นส่วนสามารถดำเนินธุรกิจร่วมกันได้อย่างราบรื่นและยั่งยืน

——————————————————————————————————————————–

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

โทร : 02-1217414 ,091-0473382      Line : https://page.line.me/379vfaui

พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

ผิดสัญญาเงินกู้

1.การผิดสัญญาเงินกู้ หมายถึง กรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาได้ เช่น ไม่ชำระหนี้ตามกำหนด ไม่ชำระดอกเบี้ย หรือฝ่าฝืนข้อตกลงอื่นที่กำหนดไว้ในสัญญา การผิดสัญญานี้อาจส่งผลทางกฎหมายและนำไปสู่การดำเนินคดีได้

  1. ผลกระทบของการผิดสัญญาเงินกู้ การผิดสัญญาอาจส่งผลกระทบหลายประการ ได้แก่:

ค่าปรับและดอกเบี้ยผิดนัด: ผู้ให้กู้อาจเรียกเก็บค่าปรับและดอกเบี้ยเพิ่มเติมตามที่ระบุในสัญญา

การฟ้องร้องและบังคับคดี: ผู้ให้กู้สามารถดำเนินการทางกฎหมายเพื่อบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้

เสียเครดิตและความน่าเชื่อถือ: ลูกหนี้อาจถูกบันทึกประวัติเครดิตเสีย ทำให้ขอกู้เงินในอนาคตได้ยากขึ้น

การยึดทรัพย์หรือหลักประกัน: หากมีการจำนองหรือวางหลักประกันไว้ ผู้ให้กู้อาจใช้สิทธิบังคับขายทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้

  1. ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการผิดสัญญาเงินกู้

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 กำหนดว่าสัญญากู้ยืมเงินที่มีจำนวนเกิน 2,000 บาท ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อ มิฉะนั้นจะไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้

มาตรา 654 กำหนดว่าอัตราดอกเบี้ยต้องไม่เกิน 15% ต่อปี หากสูงกว่านี้ถือเป็นโมฆะ

มาตรา 224 ระบุว่าหากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยผิดนัดไม่เกิน 7.5% ต่อปี เว้นแต่จะตกลงกันเป็นอย่างอื่น

  1. แนวทางการแก้ไขเมื่อผิดสัญญาเงินกู้ หากลูกหนี้พบว่าตนเองอาจไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ ควรดำเนินการดังนี้:

–  เจรจากับเจ้าหนี้: พยายามขอปรับโครงสร้างหนี้ หรือขอขยายระยะเวลาการชำระ

–  ขอความช่วยเหลือทางกฎหมาย: หากถูกฟ้องร้อง ควรปรึกษาทนายเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม

–  หาทางออกทางการเงิน: อาจมองหาแหล่งเงินทุนอื่น เช่น การรีไฟแนนซ์หรือขอสินเชื่อเพื่อปิดหนี้เก่า

–  ปฏิบัติตามแผนชำระหนี้: หากตกลงกับเจ้าหนี้ได้แล้ว ควรทำตามข้อตกลงใหม่อย่างเคร่งครัด

5. การป้องกันปัญหาการผิดสัญญาเงินกู้

– อ่านและทำความเข้าใจสัญญาอย่างละเอียดก่อนลงนาม

– วางแผนการเงินให้รอบคอบเพื่อให้สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด

– หลีกเลี่ยงการกู้ยืมเกินความสามารถในการชำระคืน

– บันทึกการชำระเงินทุกครั้งเพื่อเป็นหลักฐาน

 

การผิดสัญญาเงินกู้เป็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นการวางแผนและบริหารจัดการหนี้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยลดความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายได้

——————————————————————————————————————————————

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

โทร : 02-1217414 ,091-0473382      Line : https://page.line.me/379vfaui

พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

การขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนม

การขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนม

กระเป๋าแบรนด์เนม ไม่ใช่แค่เครื่องประดับแฟชั่น แต่ยังถือเป็นสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ หนึ่งในวิธีที่นิยมใช้คือ การขายฝาก ซึ่งช่วยให้เจ้าของกระเป๋าได้รับเงินสดทันที โดยยังสามารถไถ่คืนกระเป๋าได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด

การขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนมคืออะไร?

การขายฝากเป็นสัญญาที่เจ้าของกระเป๋านำสินทรัพย์ของตนไปเปลี่ยนเป็นเงินสดกับผู้รับซื้อฝาก โดยมีเงื่อนไขว่าสามารถไถ่คืนได้ภายในเวลาที่กำหนด หากพ้นกำหนดโดยไม่มีการไถ่ถอน กระเป๋าจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับซื้อฝากทันที

ขายฝากต่างจากจำนำอย่างไร?

ขายฝาก: โอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้รับซื้อฝากชั่วคราว แต่สามารถซื้อคืนได้

จำนำ: เจ้าของยังคงมีกรรมสิทธิ์ในกระเป๋า แต่ใช้เป็นหลักประกันในการกู้เงิน

ข้อดีและข้อเสียของการขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนม

✅ ข้อดี

✔ ได้รับเงินสดรวดเร็ว

✔ ไม่ต้องขายขาด ยังมีโอกาสไถ่คืน

✔ ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์อื่นค้ำประกัน

❌ ข้อเสีย

❌ หากไม่ไถ่คืนภายในเวลาที่กำหนด จะสูญเสียกระเป๋า

❌ อาจต้องเสียค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ยเพิ่มเติม

❌ หากเลือกแหล่งรับซื้อฝากที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจเกิดปัญหา

 

ขั้นตอนการขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนม

  1. เลือกผู้รับซื้อฝากที่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบรีวิวและชื่อเสียง ดูว่าสัญญามีความโปร่งใส
  2. ประเมินราคากระเป๋า ยี่ห้อ รุ่น และสภาพกระเป๋ามีผลต่อราคา ควรเปรียบเทียบราคาหลายแหล่ง
  3. ทำสัญญาขายฝาก ระบุราคาขายฝากและระยะเวลาการไถ่คืน ตรวจสอบค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ย
  4. รับเงินสดและเก็บเอกสารให้ดี หลังทำข้อตกลง ควรเก็บสัญญาไว้เป็นหลักฐาน
  5. ไถ่คืนกระเป๋าตามกำหนด จ่ายเงินคืนให้ครบถ้วนเพื่อรับกระเป๋าคืน

 

ข้อควรระวังก่อนขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนม

✔ อ่านและทำความเข้าใจสัญญาก่อนลงนาม

✔ เลือกแหล่งรับซื้อฝากที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจ

✔ เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขให้ดี

✔ เก็บเอกสารและหลักฐานธุรกรรมให้ครบถ้วน

 

การขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนมเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเงินสดด่วน แต่ต้องศึกษาเงื่อนไขให้ละเอียดและเลือกแหล่งรับซื้อฝากที่เชื่อถือได้ เพื่อป้องกันการสูญเสียทรัพย์สินโดยไม่จำเป็น

หากคุณกำลังพิจารณาขายฝากกระเป๋า อย่าลืมตรวจสอบเงื่อนไขให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ!

—————————————————————————————————————————————————–

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382      📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

 

กฎหมายหน้ารู้

การขอปล่อยตัวชั่วคราว

การขอปล่อยตัวชั่วคราว

การขอปล่อยตัวชั่วคราว หรือที่เรียกกันว่า “การประกันตัว” หมายถึง การที่บุคคลที่ถูกควบคุมตัวในระหว่างการพิจารณาคดีได้รับอนุญาตจากศาล หรือเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจให้ปล่อยตัวออกจากการควบคุมเป็นการชั่วคราว ภายใต้เงื่อนไขบางประการ เช่น การวางหลักทรัพย์ การมีผู้ประกัน หรือการกำหนดเงื่อนไขอื่น ๆ เพื่อรับรองว่าผู้ต้องหาจะไม่หลบหนีและจะมาปรากฏตัวตามหมายเรียกของศาล

สิทธิในการขอปล่อยตัวชั่วคราว

ในหลักกฎหมายไทย บุคคลทุกคนมีสิทธิได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด ดังนั้น ผู้ต้องหา หรือจำเลยในคดีอาญามีสิทธิยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวได้ ซึ่งเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ขั้นตอนการขอปล่อยตัวชั่วคราว

  1.    ยื่นคำร้อง – ผู้ต้องหา/จำเลย หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง (เช่น ญาติ หรือทนายความ) สามารถยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวต่อศาล, พนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการ ขึ้นอยู่กับสถานะของคดี
  2. เสนอหลักประกัน – อาจต้องมีการวางหลักทรัพย์ เช่น เงินสด, โฉนดที่ดิน, หรือหนังสือรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นหลักประกันว่าผู้ต้องหาจะไม่หลบหนี
  3. ศาลพิจารณาคำร้อง – ศาลจะพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความหนักเบาของคดี, ความเสี่ยงในการหลบหนี, พฤติกรรมของผู้ต้องหา และหลักประกันที่เสนอ
  4. คำสั่งศาล – หากศาลอนุญาต ผู้ต้องหาจะได้รับการปล่อยตัวตามเงื่อนไขที่กำหนด แต่หากถูกปฏิเสธ ผู้ต้องหาสามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งได้

 

ปัจจัยที่ศาลใช้พิจารณา

ความร้ายแรงของคดี

พฤติกรรมของผู้ต้องหา (เช่น เคยหลบหนีหรือไม่)

โอกาสที่ผู้ต้องหาจะไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน

ความน่าเชื่อถือของหลักประกัน

 

ผลกระทบหากผิดเงื่อนไข

หากผู้ต้องหาหลบหนี หรือฝ่าฝืนเงื่อนไข ศาลอาจมีคำสั่ง ริบหลักประกัน และ ออกหมายจับ รวมถึงการถูกปฏิเสธการปล่อยตัวชั่วคราวในอนาคต

การขอปล่อยตัวชั่วคราวเป็นสิทธิพื้นฐานของผู้ต้องหาและจำเลย แต่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปได้อย่างเหมาะสม หากศาลเห็นว่าผู้ต้องหามีความเสี่ยงต่อการหลบหนี หรือก่อให้เกิดอันตรายต่อกระบวนการพิจารณาคดี อาจปฏิเสธคำร้อง ดังนั้น การมีที่ปรึกษากฎหมายหรือทนายความที่เชี่ยวชาญสามารถช่วยให้การยื่นคำร้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

———————————————————————————————————————————————–

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382      📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้