
หมวดหมู่: ไม่มีหมวดหมู่
กฎหมายยกเว้น ห้ามทำสัญญา

กฎหมายหน้ารู้
สัญญาเช่าซื้อ
กฎหมายหน้ารู้
การเช่าทรัพย์

การเช่าทรัพย์ คือสัญญาที่มีบุคคลอยู่สองฝ่าย ฝ่ายแรกคือผู้ให้เช่า ฝ่ายที่สองคือผู้เช่า ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีหนี้ ที่จะต้องชําระให้แก่กันและกัน โดยฝ่ายผู้ให้เช่ามีหนี้ที่จะต้องให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์ที่เช่า ส่วนฝ่ายผู้เช่าก็มีหนี้ ที่จะต้องชําระค่าเช่าเป็นการตอบแทน
หลักเกณฑ์การเช่า
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อของฝ่ายที่จะต้องรับผิดตามสัญญา การเช่าทรัพย์มีรายละเอียดและข้อกำหนดการเช่าทรัพย์เอาไว้ดังต่อไปนี้
1) สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นานเกินกว่า 3 ปี หรือ มีกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าต้องนําไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
2) ผู้ให้เช่ามีหน้าที่ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่า ให้แก่ผู้เช่าในสภาพที่ซ่อมแซมดีแล้ว
3) ผู้เช่าต้องสงวนทรัพย์สินที่เช่า เหมือนทรัพย์สินของตนเอง และยอมให้ผู้ให้เช่าตรวจตราทรัพย์สินเป็นครั้งคราว และไม่ดัดแปลงหรือต่อเติมทรัพย์สิน ยกเว้นได้รับอนุญาตจากผู้ให้เช่า
4) ผู้เช่าต้องส่งคืนทรัพย์สินที่เช่า ให้แก่ผู้ให้เช่าในสภาพที่ซ่อมแซมดีแล้วเมื่อสัญญาเช่านั้นสิ้นสุดลง
———————————————————————————————————————-
กฎหมายหน้ารู้
ทำสัญญาให้ถูกต้องใช้บังคับได้ตามกฎหมาย

ท่านเคยไหมครับที่ได้ทำสัญญาไปแล้วแต่ไม่รู้ว่าจะมีผลบังคับตามกฎหมายได้หรือไม่อย่างไร
สำหรับในเรื่องกฎหมายได้วางหลักเกณฑ์ในการทำสัญญาเบื้องต้นเอาไว้ว่า การทำสัญญาจะมีผลเป็นสัญญาได้ก็ต่อเมื่อมีบุคคล 2 ฝ่ายหรือมากกว่า 2 ฝ่ายเข้ามาทำการตกลงโดยมีข้อเสนอและข้อสนองที่ตรงกัน
จึงจะทำให้เกิดสัญญาขึ้นได้ ส่งผลให้ขอให้เกิดหนี้ตามสัญญาที่ได้ทำไว้ต่อกันด้วย และฝ่ายเจ้าหนี้ก็มีสิทธิ์เรียกร้องให้ลูกหนี้ได้สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายได้เช่นเดียวกัน
แต่ในเรื่องนี้สำคัญอยู่ที่ว่าหากสัญญาที่เราทำไว้ไม่ถูกต้องล่ะ จะส่งผลทำให้สัญญาที่เราทำไว้บังคับตามกฎหมายได้หรือไม่ ในเรื่องนี้กฎหมายเขาได้วางหลักเกณฑ์เอาไว้ว่า หากมีสัญญาใดที่ทำไว้โดยมีรายละเอียดและข้อบังคับที่ไม่เป็นธรรมแล้ว ก็ให้นำสัญญานั้นมาใช้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและไม่ขัดต่อข้อกฎหมายเท่านั้นได้
ด้วยเหตุนี้ ท่านใดที่ทำสัญญาต่างๆไว้คงจะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบให้มากขึ้นนะครับ เพราะหากเกิดความผิดพลาดหรือเกิดข้อบกพร่องใดๆแล้วอาจจะส่งผลร้ายต่อทรัพย์สินของท่านเองได้
กฎหมายหน้ารู้
ลาป่วย ป่วยจริงหรือป่วยการเมือง
ลาป่วย ป่วยจริงหรือป่วยการเมือง
#นายจ้างมีสิทธิ์ตัดเงินเดือนได้หรือไม่?
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
มาตรา 32 ถ้าภายในการทำงาน 1 ปี หากลูกจ้างสุขภาพไม่ดี และมีอาการเจ็บป่วยจริง ลูกจ้างสามารถใช้สิทธิ์
ลางานได้ตามความเป็นจริง โดยตลอดระยะเวลาที่ป่วย ลูกจ้างจะต้องได้รับค่าจ้างตลอดระยะเวลาที่ลาป่วย
แต่ทั้งนี้ภายใน 1 ปี การลาป่วยต้องไม่เกินกว่า 30 วัน
กรณีหากการลาป่วยหรืออาการป่วยนาน ติดต่อเกินกว่า 30 วัน ในส่วนวันที่เกินจะไม่ได้รับค่าจ้าง
และหากลูกจ้างไม่สบาย และลาป่วยติดต่อกันเกิน 3 วัน นายจ้างมีสิทธิ์ขอดูใบรับรองแพทย์ได้ โดยต้องแสดงใบรับรองแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง หรือใบรับรองแพทย์จากสถานพยาบาลของทางราชการ
__________________________
ปรึกษาปัญหากฎหมาย ฟรี
กฎหมายหน้ารู้
หลักฐานการกู้เงิน


กฎหมายหน้ารู้
หลักประกันที่ใช้ในการขอปล่อยตัวชั่วคราวทุกชั้นศาล

กรณีใช้เงินสดหรือทรัพย์สินอื่นเป็นหลักประกันมีอะไรการทรัพย์สินดังต่อไปนี้
- เงินสด
- หลักทรัพย์อื่นๆ เช่น
2.1) ที่ดินมีโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือกรรมสิทธิ์ห้องชุด
2.2) พันธบัตรรัฐบาล สลากออมสิน บัตรหรือสลากออมสินทวีสินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตัวเลขเงินที่ธนาคารเป็นผู้จ่ายและธนาคารผู้จ่ายได้รับรองตลอดไปแล้ว ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ธนาคารเป็นผู้ออกตั๋ว หรือเช็คที่ธนาคารเป็นผู้สั่งจ่าย(แคชเชียร์เช็ค) หรือเช็คที่ธนาคารรับรองแล้ว
- เงินฝากธนาคาร
- หนังสือค้ำประกันหรือหนังสือรับรองของธนาคาร
- หนังสือรับรองของบริษัทประกันภัย
- บางศาลเคยพิจารณาอนุญาตให้ใช้สิ่งต่อไปนี้เป็นหลักทรัพย์ เช่น รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ ที่ดินมีเอกสาร บท. 5 , สค 1 , นศ 2 หรือ สปก , บ้านพักอาศัย , ทรัพย์ที่ติดจำนองหรือมีภาระติดพัน
สอบถามหรือรับคำแนะนำ (ฟรี ) 📱Tel. 02-1217414, 091-0473382 สนง.กฎหมายสยามอินเตอร์ลอว์
https://page.line.me/379vfaui
กฎหมายหน้ารู้
ผู้มีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว

ผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดี หมายความถึง บุคคลผู้ถูกหาว่าได้กระทำความผิดแต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล กล่าวคือ ยังอยู่ในชั้นของตำรวจ (พนักงานสอบสวน) และพนักงานอัยการ ส่วนจำเลย หมายถึง บุคคลซึ่งถูกฟ้องศาลแล้ว โดยข้อหาว่าได้กระทำความผิดและศาลรับฟ้องอยู่ในชั้นพิจารณาคดีของศาลแล้ว
ผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาหรือจำเลย อันได้แก่ บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีภรรยา ญาติพี่น้อง ผู้ปกครอง ผู้บังคับบัญชา นายจ้าง ทนายความ บุคคลที่เกี่ยวพันโดยทางสมรส บุคคลที่เจ้าพนักงาน พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาลเห็นว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเสมือนเป็นญาติพี่น้องหรือมีความสัมพันธ์ในทางอื่นที่เจ้าพนักงานหรือการเห็นสมควรซึ่งต้องมีความสำคัญเป็นผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. บุคคลธรรมดา ต้องเป็นบุคคลที่มีความสามารถตามกฎหมายที่จะทำนิติกรรมสัญญาได้ ดังนั้น บุคคลวิกลจริต บุคคลไร้ความสามารถ และบุคคลเสมือนไร้ความสามารถไม่สามารถยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยได้
2. นิติบุคคล สามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวได้ ยกตัวอย่างเช่น ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด แต่ต้องเป็นในกรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นกรรมการผู้แทน ตัวแทน หุ้นส่วน พนักงานหรือลูกจ้างของนิติบุคคลนั้น หากไม่เกี่ยวข้องดังกล่าว นิติบุคคลนั้นก็ต้องมีวัตถุประสงค์ดังนี้ คือ ต้องจดทะเบียนว่ามีวัตถุประสงค์ในการขอประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทประกันและต้องแนบสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนของนายทะเบียนประกอบด้วย
3. บุคคลที่ถูกกักขังหรือจำคุกในกรณีอื่น เช่น ศาลออกหมายจับพยานที่จงใจไม่มาศาล หรือกรณีละเมิดอำนาจศาล หรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่ถูกจับกุมโดยเหตุจงใจขัดขืนคำบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 300 เป็นต้น บุคคลเช่นว่านั้นมีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวหรือขอประกันตัวได้
4. ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์หรือผู้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ 2545 และผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องอันได้แก่ บิดา มารดา สามี ภรรยา ปู่ ย่า ตา ยาย ป้า น้า อา นายจ้าง ผู้ปกครองตามกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการ หรือบุคคลที่บิดามารดายินยอมให้เป็นผู้ปกครองดำเนินการแทน มีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นเข้ารับการตรวจพิสูจน์หรือในชั้นเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดนี้ได้
สอบถามหรือรับคำแนะนำ (ฟรี ) 📱Tel. 02-1217414, 091-0473382
สนง.กฎหมายสยามอินเตอร์ลอว์ https://page.line.me/379vfaui
กฎหมายหน้ารู้
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจเกี่ยวข้องกับการขอปล่อยตัวชั่วคราว
ตัวอย่างที่ 1 สิทธิของผู้ถูกควบคุมขังโดยผิดกฎหมายในการยื่นคำร้องขอให้ปล่อยตัว
คำพิพากษาฎีกาที่ 4827/2550 ได้วางแนวเอาไว้ว่า สิทธิ์ของผู้ถูกคุมขังในการยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งปล่อยตัวจากการควบคุมหรือขังโดยผิดกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา 90 นั้น มีอยู่เพียงชั่วระยะเวลาที่ผู้ถูกควบคุมขังยังถูกควบคุมหรือขังไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ตามคำร้องปรากฏว่าภายหลังจากผู้ร้องถูกควบคุมตัว พนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัวผู้ร้องชั่วคราวไปแล้ว โดยให้ผู้ร้องทำสัญญาประกันไว้ กรณีจึงไม่มีการควบคุมตัวผู้ร้องในขณะยื่นคำร้องแล้ว ผู้ร้องจึงไม่อาจร้องขอตามมาตรา 90 ได้ หากการจับไม่ชอบด้วยกฎหมายก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะดำเนินคดีแก่เจ้าพนักงานตำรวจที่จับผู้ร้อง ด้วยการร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานหรือฟ้องคดีต่อศาลตามกฎหมายในเรื่องนั้นๆต่อไป ทรัพย์สินซึ่งผู้ร้องกล่าวอ้างว่า เจ้าพนักงานตำรวจยึดไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานตำรวจคืนแก่ผู้ร้องนั้น ก็ไม่ใช่กรณีที่จะยื่นคำขอมาพร้อมกับคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 90 เช่นกัน พูดแล้วไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องเป็นคดีนี้
ตัวอย่างที่ 2 กรณีนิติบุคคลตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย จะค้างหรือปล่อยชั่วคราวผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นไม่ได้ ปราณนิติบุคคลไม่อยู่ในสภาพที่จะให้จับกุมได้และไม่ถือว่าเป็นการจัดที่จะได้รับรางวัลนำจับ
คำพิพากษาฎีกาที่ 3117/2533 ได้ระบุรายละเอียดในเรื่องนี้เอาไว้ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดต่อพ.ร.บศุลกากร คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดให้ปรับจำเลยและให้จ่ายรางวัลร้อยละ 20 ขอเงินค่าปรับแก่เจ้าหน้าที่ซึ่งจับกุม ดังนี้ กรณีที่นิติบุคคลเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 7 ซึ่งกำหนดให้ออกหมายเรียกผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นๆของนิติบุคคลนั้น ให้ไปยังพนักงานสอบสวนหรือศาลแล้วแต่กรณี ถ้าผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกจะออกหมายจับมาก็ได้ แต่จะขังหรือปล่อยตัวชั่วคราว ผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นไม่ได้ ตอนนิติบุคคลไม่อยู่ในสภาพที่จะให้จับกุมได้ ขอให้ใช้วิธีการกรอกหมายเรียกผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลมาเพื่อการสอบสวนหรือพิจารณาแล้วแต่กรณี
การที่ผู้ร้องที่ 1 ออกหมายเรียกกรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยมาแล้ว แจ้งข้อกล่าวหาว่าบริษัทจำเลยกระทำความผิด จึงไม่เป็นการจับกุมและผู้ร้องที่ 1 มิใช่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งจับกุมจำเลย ผู้ร้องที่ 1 จึงไม่มีสิทธิ์ได้รับรางวัลตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิดพศ 2489 มาตรา 7 และมาตรา 8
สอบถามหรือรับคำแนะนำ (ฟรี ) 📱Tel. 02-1217414, 091-0473382
สนง.กฎหมายสยามอินเตอร์ลอว์
https://page.line.me/379vfaui
กฎหมายหน้ารู้
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่เกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราว
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 บัญญัติว่า “ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลย”
ด้วยเหตุที่คดีอาญา เป็นคดีความผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น ทั้งต่อประชาชนด้วยกันและต่อรัฐ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน รัฐในฐานะผู้ปกครองจำต้องเข้าไปเกี่ยวกล้องกับบุคคลในทางชีวิตร่างกายและเสรีภาพของบุคคลในการเคลื่อนไหวร่างกายและจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลตามกฎหมาย
แต่ด้วยเหตุที่รัฐเองก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และฉันต้องเคารพในสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วยเช่นกัน ดังนั้นการใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กรจึงต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของประชาชน
ในการดำเนินคดีอาญานั้น การควบคุมตัวระหว่างดำเนินคดี จึงเป็นเรื่องของข้อยกเว้น กล่าวคือ โดยหลักจะต้องไม่ควบคุมตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยไว้ในอำนาจรัฐ เว้นแต่ จะมีความจำเป็นจะต้องควบคุมตัวไว้ และในกรณีที่มีความจำเป็นจะต้องควบคุมตัวไว้ในระหว่างคดีนี้ อาจมีการพิจารณาอนุญาตให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวได้ ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขอปล่อยตัวชั่วคราวไว้ในมาตรา 106 ถึงมาตรา 119 ทวิ ในปัจจุบันได้มีบัญญัติในมาตรา 107 บัญญัติรับรองสิทธิให้แก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยในการขอปล่อยตัวชั่วคราว เมื่อได้รับคำร้องแล้ว ให้เจ้าพนักงานหรือศาลรีบสั่งอย่างรวดเร็วและผู้ต้องหาหรือจำเลยทุกคนพึงได้รับอนุญาตให้เปิดตัวชั่วคราว
สอบถามหรือรับคำแนะนำ (ฟรี ) 📱Tel. 02-1217414, 091-0473382
สนง.กฎหมายสยามอินเตอร์ลอว์ https://page.line.me/379vfaui