“ดูหมิ่น” และ “หมิ่นประมาท” มีความหมายและผลทางกฎหมายที่แตกต่างกันอย่างไร

“ดูหมิ่น” และ “หมิ่นประมาท” มีความหมายและผลทางกฎหมายที่แตกต่างกัน ดังนี้

  1. ดูหมิ่น หมายถึง การแสดงความดูถูก ดูแคลน หรือสบประมาทบุคคลอื่นไม่จำเป็นต้องเป็นความเท็จ แค่พูดหรือแสดงพฤติกรรมที่เป็นการเหยียดหยามก็เข้าข่าย  ตัวอย่างเช่น ด่าทอ หยาบคาย หรือดูถูกบุคคลอื่นต่อหน้า  ถ้าดูหมิ่นเจ้าพนักงานหรือสถาบันพระมหากษัตริย์ อาจเข้าข่ายความผิดร้ายแรงขึ้น
  2. หมิ่นประมาท หมายถึง การใส่ความบุคคลอื่นต่อบุคคลที่สาม ทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง  มักเกี่ยวข้องกับการพูดหรือเผยแพร่ข้อมูลที่อาจเป็นเท็จหรือทำให้คนอื่นเข้าใจผิด    ตัวอย่างเช่น การโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเกี่ยวกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

สรุปความแตกต่าง:

ดูหมิ่น คือ การดูถูกเหยียดหยามโดยตรง

หมิ่นประมาท คือ การใส่ร้ายหรือทำให้บุคคลอื่นเสื่อมเสียชื่อเสียงผ่านบุคคลที่สาม

ทั้งสองกรณีอาจเป็นความผิดทางกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย

—————————————————————————————————————————————————–

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382      📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

เมื่อถูกหลอกซื้อ-ขายสินค้า ควรทำอย่างไร?

เมื่อถูกหลอกให้ซื้อสินค้า

ทุกวันนี้ การซื้อขายสินค้าออนไลน์และออฟไลน์มีความสะดวกมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน การหลอกลวงผู้บริโภคก็เพิ่มขึ้นด้วย หลายคนเคยตกเป็นเหยื่อของการถูกหลอกให้ซื้อสินค้าด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าปลอม สินค้าคุณภาพต่ำ หรือแม้กระทั่งการรับเงินแล้วไม่ส่งสินค้า ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงวิธีรับมือเมื่อโดนหลอก และแนวทางป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ

ลักษณะของการหลอกลวงในการซื้อสินค้า

  1. ขายสินค้าไม่ตรงปก – ผู้ขายโฆษณาสินค้าอย่างดี แต่สินค้าที่ได้รับกลับแตกต่างจากที่โฆษณา
  2. ขายของปลอม – อ้างว่าเป็นของแท้ แต่เมื่อได้รับสินค้ากลับเป็นของเลียนแบบ
  3. ไม่ส่งสินค้า – โอนเงินไปแล้ว แต่ไม่ได้รับสินค้าและติดต่อผู้ขายไม่ได้
  4. บังคับขายสินค้า – หลอกให้สมัครสมาชิกหรือซื้อสินค้าโดยไม่เต็มใจ
  5. เสนอราคาถูกเกินจริง – ใช้ราคาที่ถูกมากเพื่อดึงดูดใจ แต่จริง ๆ แล้วไม่มีสินค้าจริง

เมื่อถูกหลอกในการซื้อ-ขายสินค้า  ควรทำอย่างไร?

  1. รวบรวมหลักฐาน เก็บหลักฐานทุกอย่าง เช่น ข้อความแชท สลิปโอนเงิน รูปสินค้า และรายละเอียดของผู้ขาย
  2. ติดต่อผู้ขาย แจ้งให้ผู้ขายทราบถึงปัญหา และขอคืนเงินหรือเปลี่ยนสินค้า หากผู้ขายไม่นำพา อาจใช้หลักฐานเพื่อดำเนินการทางกฎหมาย
  3. แจ้งความกับตำรวจ หากเป็นการฉ้อโกงที่ชัดเจน ควรไปแจ้งความที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน พร้อมนำหลักฐานไปด้วย
  4. ร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โทร 1166 หรือร้องเรียนผ่านเว็บไซต์

กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) สำหรับกรณีซื้อขายออนไลน์  ธนาคารของคุณ หากเป็นการโอนเงินไปยังบัญชีผู้ขาย อาจขอให้ธนาคารช่วยตรวจสอบ

  1. แจ้งเตือนสาธารณะ โพสต์ในโซเชียลมีเดียหรือเว็บบอร์ดเพื่อเตือนผู้อื่นไม่ให้ตกเป็นเหยื่อรายต่อไป

วิธีป้องกันไม่ให้ถูกหลอก

– ตรวจสอบผู้ขาย ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า ดูรีวิวจากลูกค้าคนอื่นใช้ช่องทางชำระเงินที่ปลอดภัย เช่น การเก็บเงินปลายทาง (COD) หรือใช้แพลตฟอร์มที่มีการคุ้มครองผู้ซื้อ

– อย่าหลงเชื่อโปรโมชั่นที่ดูดีเกินจริง หากสินค้าราคาถูกเกินไป อาจเป็นกลโกง

– ตรวจสอบนโยบายการคืนสินค้า ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรอ่านเงื่อนไขให้ละเอียด

– ใช้แพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ ซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ที่มีระบบตรวจสอบผู้ขาย

 

การถูกหลอกให้ซื้อสินค้าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เราสามารถลดความเสี่ยงและป้องกันตนเองได้โดยการตรวจสอบข้อมูลก่อนซื้อ ใช้วิธีชำระเงินที่ปลอดภัย และรู้จักช่องทางร้องเรียนเมื่อเกิดปัญหา หากคุณหรือคนใกล้ตัวเคยถูกหลอก ควรดำเนินการตามขั้นตอนข้างต้นเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและป้องกันไม่ให้คนอื่นตกเป็นเหยื่ออีก

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382      📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

การแบ่งสินสมรสในกรณีสามีภรรยาไม่ได้จดทะเบียนสมรส

ในกฎหมายไทย คู่สมรสที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสจะไม่มีสถานะเป็น “สามีภรรยาตามกฎหมาย” ซึ่งหมายความว่า หลักกฎหมายเกี่ยวกับสินสมรส (มาตรา 1474 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) จะไม่มีผลบังคับใช้โดยตรง อย่างไรก็ตาม หากมีการเลิกรากันไป การแบ่งทรัพย์สินที่ได้มาร่วมกันยังสามารถทำได้ภายใต้หลักกฎหมายและแนวทางปฏิบัติต่างๆ ดังนี้

1. หลักการแบ่งทรัพย์สินของคู่สมรสที่ไม่ได้จดทะเบียน

เมื่อไม่มีทะเบียนสมรส กฎหมายถือว่าทั้งสองฝ่ายเป็น “คู่รัก” หรือ “ภาคีร่วมลงทุน” มากกว่าคู่สมรส ดังนั้นการแบ่งทรัพย์สินจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้

1.1 กรณีมีหลักฐานการเป็นเจ้าของร่วมกัน

หากทรัพย์สิน เช่น บ้าน รถยนต์ หรือที่ดิน มีชื่อทั้งสองฝ่ายเป็นเจ้าของ (กรรมสิทธิ์ร่วม) การแบ่งจะแบ่งตามสัดส่วนที่ระบุในเอกสารกรรมสิทธิ์

หากไม่มีการระบุสัดส่วนชัดเจน กฎหมายจะถือว่าแต่ละฝ่ายมีสิทธิ์เท่ากัน

1.2 กรณีทรัพย์สินเป็นชื่อของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

โดยหลักการแล้ว ทรัพย์สินที่จดทะเบียนในชื่อใครถือเป็นของคนนั้น

แต่หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าอีกฝ่ายมีส่วนร่วมในการลงทุน หรือสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อทรัพย์สิน อาจมีสิทธิเรียกร้องขอแบ่งสัดส่วนตามที่สมควร

1.3 กรณีมีข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร

หากมีข้อตกลงล่วงหน้า เช่น หนังสือสัญญาการเป็นเจ้าของทรัพย์สินร่วมกัน ศาลอาจใช้ข้อตกลงนั้นเป็นหลักในการแบ่งทรัพย์สิน

1.4 กรณีทรัพย์สินที่ได้มาโดยการให้ (ของขวัญหมั้นหรือสินสอด)

หากเป็นทรัพย์สินที่ฝ่ายหนึ่งให้แก่กันโดยเสน่หา (เช่น ซื้อบ้านให้แฟนโดยไม่มีข้อตกลงเรื่องการคืน) อาจถือว่าเป็นทรัพย์สินของผู้รับ

แต่หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นการให้โดยมีเงื่อนไข หรือเป็นทรัพย์สินที่มีเจตนาร่วมกัน อาจต้องแบ่งให้เป็นธรรม

 

2. การเรียกร้องสิทธิ์ทางกฎหมาย

หากมีข้อพิพาทและไม่สามารถตกลงกันเองได้ ฝ่ายที่เสียเปรียบสามารถใช้สิทธิทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องทรัพย์สินที่มีส่วนร่วมได้ ดังนี้

2.1 ฟ้องร้องในฐานะ “ภาคีร่วมลงทุน”

หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนเองมีส่วนร่วมในการลงทุน หรือมีส่วนช่วยเหลือกันในการสร้างทรัพย์สิน สามารถฟ้องร้องเพื่อแบ่งทรัพย์สินตาม หลักภาคีร่วมลงทุน ได้

2.2 ฟ้องร้องในฐานะ “นิติกรรมสัญญา”

หากมีข้อตกลงที่ชัดเจนเกี่ยวกับการร่วมสร้างทรัพย์สิน เช่น มีสัญญาระบุว่าทั้งสองฝ่ายมีส่วนร่วมในการซื้อบ้าน อาจใช้ข้อตกลงนี้เป็นหลักฐานในศาล

2.3 ฟ้องร้องในฐานะ “คดีแพ่งทั่วไป”

ในบางกรณี ศาลอาจพิจารณาให้แบ่งทรัพย์สินตาม หลักความยุติธรรม โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของแต่ละฝ่าย

 

3. ข้อควรระวังสำหรับคู่รักที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส

เพื่อป้องกันปัญหาเกี่ยวกับทรัพย์สินในอนาคต คู่รักที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสควรปฏิบัติดังนี้
✔ ทำข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร หากมีการซื้อทรัพย์สินร่วมกัน
✔ เก็บหลักฐานการจ่ายเงิน เช่น สลิปโอนเงิน หรือใบเสร็จรับเงิน ที่แสดงถึงการมีส่วนร่วมในการซื้อทรัพย์สิน
✔ พิจารณาจดทะเบียนสมรส หากมีการวางแผนใช้ชีวิตร่วมกันในระยะยาว

 

คู่สมรสที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไม่มีสินสมรสตามกฎหมาย แต่ยังสามารถแบ่งทรัพย์สินกันได้โดยพิจารณาจาก หลักฐานการเป็นเจ้าของ การมีส่วนร่วมในการสร้างทรัพย์สิน และข้อตกลงที่มีอยู่ หากเกิดข้อพิพาท สามารถฟ้องร้องขอแบ่งทรัพย์สินตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ โดยศาลจะพิจารณาตามข้อเท็จจริงของแต่ละกรณี

 

——————————————————————————————————————

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382

📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

สิทธิการปกครองบุตรหลังพ่อแม่แยกทางกัน

เมื่อพ่อแม่แยกทางกัน ไม่ว่าจะโดยการหย่าร้างหรือแยกกันอยู่โดยไม่จดทะเบียนสมรส คำถามสำคัญที่มักเกิดขึ้นคือ “ใครมีสิทธิในการปกครองบุตร?” สิทธิการปกครองนี้เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในเรื่องสำคัญของบุตร เช่น การศึกษา ที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล และสวัสดิการทั่วไป ในบทความนี้ เราจะอธิบายหลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิการปกครองบุตรในกรณีที่พ่อแม่แยกทางกัน

  1. สิทธิการปกครองบุตรตามกฎหมายไทย

ในกรณีที่พ่อแม่จดทะเบียนสมรสกันและหย่าร้าง สิทธิการปกครองบุตร จะถูกกำหนดโดยเงื่อนไขในทะเบียนหย่า ถ้าพ่อแม่สามารถตกลงกันได้ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ปกครอง ศาลจะให้ความเห็นชอบตามข้อตกลงนั้น แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ศาลจะเป็นผู้ตัดสินใจโดยพิจารณาจากประโยชน์สูงสุดของเด็ก

สำหรับพ่อแม่ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มารดาจะเป็นผู้มีสิทธิในการปกครองบุตรโดยอัตโนมัติ ตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม บิดาสามารถร้องขอให้ศาลพิจารณาให้ตนมีสิทธิในการปกครองบุตรร่วมกันหรือขอรับสิทธิในการปกครองแต่เพียงผู้เดียวได้

  1. ปัจจัยที่ศาลใช้พิจารณาในการมอบสิทธิการปกครอง

เมื่อศาลต้องตัดสินว่าใครควรได้รับสิทธิในการปกครองบุตร ศาลจะพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่

ความสัมพันธ์ระหว่างบิดา มารดา และบุตร – ศาลจะพิจารณาว่าใครเป็นผู้ที่เลี้ยงดูบุตรมาก่อนการแยกทาง และใครที่บุตรมีความผูกพันมากกว่า

ความสามารถในการเลี้ยงดูบุตร – ศาลจะพิจารณาถึงความมั่นคงทางการเงิน ความสามารถในการให้การศึกษา และสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของเด็ก

สุขภาพจิตและร่างกายของพ่อแม่ – หากฝ่ายใดมีปัญหาด้านสุขภาพจิตหรือมีพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อบุตร เช่น การใช้สารเสพติดหรือมีพฤติกรรมรุนแรง ศาลอาจไม่ให้สิทธิการปกครองแก่ฝ่ายนั้น

ความต้องการของบุตร – หากบุตรมีอายุพอสมควร (เช่น อายุ 7 ปีขึ้นไป) ศาลอาจพิจารณาความต้องการของเด็กว่าต้องการอยู่กับใคร

  1. กรณีการเปลี่ยนแปลงสิทธิการปกครอง

หากมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เช่น ฝ่ายที่ได้รับสิทธิการปกครองไม่สามารถดูแลบุตรได้อีกต่อไป หรือมีเหตุผลอื่นที่ทำให้ศาลเห็นว่าควรเปลี่ยนแปลงสิทธิ ศาลสามารถพิจารณาเปลี่ยนแปลงการปกครองบุตรได้ตามคำร้องขอของอีกฝ่าย

  1. สิทธิของพ่อหรือแม่ที่ไม่ได้รับสิทธิในการปกครอง

หากศาลตัดสินให้ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ปกครอง อีกฝ่ายยังคงมีสิทธิในการ เยี่ยมเยียนและติดต่อกับบุตร เว้นแต่ศาลเห็นว่าการติดต่อดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อเด็ก เช่น หากมีประวัติทำร้ายร่างกายหรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

  1. ข้อควรคำนึงเมื่อมีการแยกทาง

ควรคำนึงถึง ประโยชน์สูงสุดของบุตรเป็นหลัก ไม่ใช่เพียงแค่ความต้องการของพ่อแม่    หากเป็นไปได้ ควรตกลงกันด้วยดีและหาทางออกร่วมกัน เพื่อให้เด็กได้รับความรักและการดูแลที่เหมาะสม   หากเกิดข้อขัดแย้ง ควรใช้กระบวนการทางกฎหมาย เพื่อให้ได้ข้อยุติที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย

 

สิทธิการปกครองบุตรหลังจากพ่อแม่แยกทางกันขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างพ่อแม่หรือคำตัดสินของศาล โดยพิจารณาจากประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นหลัก หากมีข้อพิพาท ควรปรึกษาทนายความหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม

——————————————————————————————————————————————————————————

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382      📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

โดนฟ้องให้จ่ายค่าส่วนต่างเช่าซื้อรถยนต์ ควรทำอย่างไร?

หากคุณถูกฟ้องให้จ่ายค่าส่วนต่างจากไฟแนนซ์หลังจากรถถูกยึด สิ่งสำคัญคืออย่าตกใจหรือเพิกเฉย เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาทางกฎหมายที่รุนแรงขึ้น เรามาดูกันว่าควรทำอย่างไรเมื่อได้รับหมายศาลเกี่ยวกับเรื่องนี้

  1. ตรวจสอบเอกสารการฟ้อง

เมื่อได้รับหมายศาล คุณควรรีบตรวจสอบรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • ชื่อของโจทก์ (ไฟแนนซ์) และจำเลย (คุณ) ถูกต้องหรือไม่
  • ยอดเงินที่ถูกฟ้อง ตรงกับสัญญาหรือไม่
  • รายละเอียดการขายทอดตลาด เช่น ราคาขายและค่าธรรมเนียมที่หักออก

หากพบข้อผิดพลาด ควรรวบรวมหลักฐานและเตรียมคัดค้านในศาล

  1. ตัดสินใจแนวทางการรับมือ

เมื่อถูกฟ้อง คุณมีทางเลือกหลัก ๆ ดังนี้

2.1 เจรจากับไฟแนนซ์

  • ติดต่อไฟแนนซ์เพื่อขอเจรจาไกล่เกลี่ย
  • ขอปรับโครงสร้างหนี้หรือขอผ่อนชำระใหม่
  • หากตกลงกันได้ อาจทำข้อตกลงใหม่เพื่อลดภาระหนี้

2.2 สู้คดีในศาล

หากเห็นว่าการคำนวณยอดหนี้ไม่ถูกต้อง หรือมีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับการขายทอดตลาด คุณสามารถยื่นคัดค้านได้ เช่น

  • ขอให้ศาลตรวจสอบว่าการขายทอดตลาดเป็นไปอย่างถูกต้องและได้ราคาที่เหมาะสมหรือไม่
  • หากมีข้อสงสัยว่าไฟแนนซ์ขายรถต่ำกว่าราคาตลาด อาจขอให้ศาลตรวจสอบการประเมินราคา

2.3 ไม่ทำอะไรเลย (ไม่แนะนำ)

หากคุณไม่ไปศาล ศาลอาจตัดสินให้คุณแพ้คดีโดยปริยาย และไฟแนนซ์สามารถใช้คำพิพากษาบังคับคดี เช่น อายัดเงินเดือน หรือยึดทรัพย์สิน

  1. ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ

หากคุณไม่แน่ใจว่าจะดำเนินการอย่างไร ควรขอคำปรึกษาจาก

  • ทนายความ เพื่อช่วยตรวจสอบสัญญาและเตรียมเอกสารคัดค้าน
  • หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค ที่สามารถให้คำแนะนำด้านกฎหมาย
  1. ป้องกันปัญหาในอนาคต
  • ก่อนทำสัญญาเช่าซื้อ ควรศึกษารายละเอียดให้ดี
  • หากมีปัญหาทางการเงิน ควรแจ้งไฟแนนซ์ล่วงหน้าเพื่อหาทางแก้ไข
  • พยายามชำระหนี้ให้ตรงเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้อง

หากถูกฟ้องเรียกค่าส่วนต่างเช่าซื้อรถยนต์ อย่าตกใจและอย่าละเลยหมายศาล ควรตรวจสอบยอดหนี้ เจรจากับไฟแนนซ์ หรือเตรียมสู้คดีตามความเหมาะสม หากไม่มั่นใจ ควรขอคำปรึกษาทางกฎหมายเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม แจ้งมาได้เลยครับ!

—————————————————————————————————————————————————————————

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382      📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

สัญญากู้ปลอม   กรณีต่อสู้ว่าสัญญากู้ปลอม

             การต่อสู้และสัญญากู้ปลอมนั้น เป็นผลให้โจทก์มีภาระการพิสูจน์ว่า สัญญากู้ที่นำมาฟ้องนั้นสมบูรณ์ถูกต้อง ไม่ปลอม แล้วจำเลยสืบแก้ ซึ่งสามารถสืบพยานบุคคลได้ ตามข้อยกเว้นในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง แต่อย่างใดก็ตาม การที่จำเลยจะมีสิทธิสืบแก้ได้นั้น จำเลยจะต้องอ้างเหตุแห่งการปลอมนั้นไว้ด้วยว่า ปลอมเพราะเหตุใด ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
             ฎีกา 2243/2521
             โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ จำเลยให้การต่อสู้ว่า สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอมโดยไม่อ้างเหตุตั้งประเด็นไว้ว่าปลอมอย่างไร ย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 จำเลยไม่มีสิทธิสืบพยานบุคคลตามข้อต่อสู้นั้น
กรณีตามฎีกาที่ 2243/2521 นี้ถือว่าจำเลยได้ให้การต่อสู้คดีไว้แล้วว่า สัญญากู้ปลอมเกิดเป็นประเด็นที่พลาด โจทก์มีภาระการพิสูจน์ตามประเด็น แต่จำเลยไม่มีสิทธิสืบแก้เพราะไม่ได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธไว้ ก็ไม่มีข้ออ้างที่จะนำสืบหรือไม่มีเหตุผลที่อ้างนั่นเอง
            ฎีกาที่ 1372/2526
            โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินไป 28,750 บาท จำเลยให้การว่า กู้ไปเพียง 4,000 บาท โดยโจทก์ให้จำเลยลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ การที่จำเลยนำสืบ ตัวจำเลยและพยานบุคคลอีก 2 คน ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปเพียง 4,000 บาท โจทก์ได้ให้จำเลยลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้ โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ เป็นการนำสืบให้เห็นว่ามีการกรอกข้อความที่ผิดความจริง ว่าจำเลยกู้เงินไป 28,750 บาท ลงในสัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง ซึ่งหากฟังได้สัญญากู้ดังกล่าวย่อมเป็นเอกสารปลอม การนำสืบเช่นนี้เป็นการนำสืบหักล้างเอกสาร จำเลยมีสิทธินำไปสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคสอง
            สอบถามกฎหมายกับผู้เชี่ยวชาญคดีเงินกู้ สอบถามคดีเงินกู้เพิ่มเติม ติดต่อ 091-047-3382 (ทนายสุริยา สนธิวงศ์)

กฎหมายหน้ารู้

การฟ้องคดีเงินกู้

เกี่ยวกับการฟ้องหรือการบรรยายฟ้องเกี่ยวกับคดีเงินกู้นั้น  ก็ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง  แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีแพ่ง ซึ่งบัญญัติว่า คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นนั้น

ดังนั้น  จึงต้องมีการบรรยายฟ้องที่ชัดเจน ไม่เคลือบคลุม ไม่ขัดกันเอง เช่น กรณีวันที่กู้เป็นระยะเวลาหลังจากหนี้ถึงกำหนดแล้ว เช่น ฟ้องว่ากู้วันที่ 5 พฤศจิกายน 2533 กำหนด 1 เดือน ครบกำหนดสัญญาวันที่ 5 ตุลาคม 2533  ซึ่งอ่านแล้วก็จะไม่เข้าใจ อาจจะเป็นกรณีผิดพลาดเรื่องการพิมพ์ หรือบรรยายฟ้องวันทำสัญญากับวันครบกำหนดตามสัญญาสลับวันกัน การบรรยายฟ้องจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ  ขอสรุปเป็นข้อสังเกตุดังนี้

1.การบรรยายฟ้องไม่จำเป็นต้องบรรยายเกี่ยวกับที่มาหรือมูลหนี้ที่กู้ยืมแม้ไม่บรรยายก็ไม่ถือว่าเป็นฟองเคลือบคลุม

 

ฎีกา 720/2518

ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ซึ่งโจทย์ได้ส่งสำเนาสัญญากู้มาพร้อมกับฟ้องแล้ว  แม้ในฟ้องจะได้กล่าวถึงที่มาหรือมูลหนี้ของสัญญากู้ฉบับที่โจทก์ฟ้อง  แต่ไม่ได้เปล่ารายละเอียดต่างๆของที่มาหรือมูลหนี้นั้นไว้ด้วยก็ไม่เป็น

 

ฎีกา 2317/2530

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์และได้รับเงินกู้ไปแล้ว  การที่โจทก์นำสืบว่า  เดิมสามีจำเลยกู้เงินสดไป จำเลยรู้เห็นด้วย เมื่อสามีจำเลยถึงแก่กรรม  จำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้ให้จดไว้แต่จำเลยไม่ชำระเงินตามสัญญากู้นั้นจึงเป็นการนำสืบถึงมูลหนี้ของสัญญากู้ซึ่งโจทก์มีสิทธิ์นำสืบได้โดยไม่ต้องบรรยายไว้ในคำฟ้องและไม่เป็นการนำสืบแตกต่างจากคำฟ้อง

  1. กรณีกู้เงินกันหลายครั้ง หลายปี แล้วนำมาฟ้องในคราวเดียวกัน บรรยายปีที่กู้สลับกันไม่เรียงลำดับแต่ละปีแต่ได้เอกสารสำเนาสัญญากู้แต่ละฉบับมาท้ายฟ้อง  ตรงกับคำบรรยายฟ้องและไม่ขัดกับเอกสารดังนี้  ฟ้องไม่เคลือบคลุม (ฎีกาที่ 1324/2519) หรือกรณีโจทก์ฟ้องว่าจำเลยในฐานะที่เป็นลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการได้ทำหลักฐานยืมเงินจดไป 14 ครั้งรวมเป็นเงิน 61,500 บาท โดยจำเลยอ้างว่ายืมไปทดรองจ่ายในกิจการของบริษัทโจทก์ แต่จำเลยไม่ได้นำเงินยืมไปใช้ในกิจการของโจทก์ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยถือว่าฟ้องโจทก์ได้กล่าวแสดงรายละเอียดถึงวันเดือนปีและจำนวนเงินที่จำเลยยืมไปและมีสำเนาใบยืมท้ายฟ้องดังนี้ ฟ้องโจทย์ไม่เคลือบคลุม(ฎีกาที่ 10000/2511)
  2. กรณีที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทย์เคลือบคลุมขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 137 วรรค 2 นั้น  หากจะให้ศาลสูงวินิจฉัยในประเด็นนี้โจทย์จะต้องอุทธรณ์โต้แย้งเป็นประเด็นว่าคำฟ้องของโจทย์ไม่เคลือบคลุมเพราะเหตุใดหากไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาตามลำดับแต่เพิ่งจะมายกขึ้นกล่าวในชั้นฎีกาแล้วศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 (ฎีกาที่ 77/2511)
  3. กรณีเรื่องบัญชีเดินสะพัดแต่ตั้งรูปเรื่องฟ้องมาเป็นกู้ยืมหากคำบรรยายฟ้องเข้าลักษณะบัญชีเดินสะพัดศาลก็มีอำนาจยกบทกฎหมายที่ถูกต้องมาปรับแก้คดีได้

 

ฎีกาที่ 4872/2528

โจทก์ฟ้องเรื่องกู้ยืมเงินแต่บรรยายฟ้องและนำสืบว่าโจทย์ที่ 2 ได้รับโควตา เป็นผู้ส่งอ้อยให้แก่โรงงานน้ำตาล  โจทก์ตกลงให้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นลูกไร่ส่งอ้อยให้แก่โจทก์  เพื่อให้โจทก์นำไปขายให้แก่โรงงานน้ำตาล โจทก์ที่ 2  เป็นผู้ออกทุนให้จำเลยทั้งสองก่อนโดยจ่ายเป็นเงินสดบ้าง เป็นเช็คบ้าง  ทั้งได้จ่ายค่าไถ่ที่ดิน  ค่าปุ๋ยและของอื่นๆเพื่อให้จำเลยใช้ในการทำไร่อ้อย โจทก์ที่ 2 ให้จำเลยลงลายมือชื่อกำกับหนี้ทุกรายการ  เมื่อตัดอ้อยแล้วจำเลยทั้งสองส่งให้โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2  จะนำอ้อยดังกล่าวไปขายให้โรงงานน้ำตาล ครั้นโจทก์ที่ 2 ได้รับเงินค่าขายอ้อยจากโรงงาน  จึงมาคิดหักทอนบัญชีกับจำเลยทั้งสอง  หักค่าอ้อยที่จำเลยทั้งสองได้รับไม่พอกับจำนวนเงินที่จำเลยเบิกไป   ก็ยกยอดไปในปีต่อไปและโจทย์คิดดอกเบี้ยเอาแก่จำเลยซึ่งจำเลยทั้งสองรับว่าเป็นผู้ปลูกอ้อยส่งโรงงานน้ำตาลในโควตาของโจทก์   โจทก์จ่ายค่าปุ๋ยให้จำเลย เมื่อโจทก์น้ำอ้อยส่งโรงงานน้ำตาลและได้รับเงินมาแล้วก็มาคิดบัญชีกันเป็นรายปี  แต่หลังจากจำเลยเลิกเป็นลูกไร่ของโจทก์แล้วไม่ได้คิดเงินกันโจทก์จำเลยจะเป็นหนี้ลูกหนี้กันเท่าใดจึงไม่ทราบ  กรณีเช่นนี้นิติสัมพันธ์ระหว่างจดที่ 2 กับจำเลย  จึงเข้าลักษณะบัญชีเดินสะพัดจึงไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ

แม้โจทก์จะฟ้องเรื่องกู้ยืมแต่ก็ได้บรรยายฟ้องเข้าลักษณะบัญชีเดินสะพัด  ศาลมีอำนาจยกบทกฎหมายที่ถูกต้องมาปรับแก่คดีได้  และการฟ้องคดีเกี่ยวกับสัญญาบัญชีเดิมสะพัดนั้นไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีกำหนด 10 ปี  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164

  1. สำหรับสารที่จะรับคำฟ้องคดีกู้ยืมนั้น  เดิมเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4 (2) คือสารที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเป็นหลัก ส่วนสารที่เป็นศาลยกเว้นคือสารที่มูลคดีเกิด  ต่อมามีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยการฟ้องคดีเป็นไปตามมาตรา 4 คือศาลภูมิลำนาวจำเลยและศาลมูลคดีไม่แยกเป็นศาลหลักศาลยกเว้นเหมือนแต่ก่อน

 

ฎีกา 3789/2528

จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดศรีสะเกษ  แต่โจทก์ยื่นคำฟ้องให้จำเลยชำระหนี้กู้ยืมพร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำฟ้องต่อศาลจังหวัดอุบลราชธานี  ซึ่งเป็นสารที่มีมูลคดีเกิดศาลจังหวัดอุบลราชธานี  มีคำสั่งคำร้องนี้ว่า “รวม” และรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยเพื่อแก้คดีและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนกระทั่งเสร็จการพิจารณา  ถือว่าศาลจังหวัดอุบลราชธานี  ได้ใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาลที่มีมูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(2) ศาลจังหวัดอุบลราชธานีจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้             ( วินิจฉัยตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งก่อนแก้ไข)

สอบถามกฎหมาย   กับทนายคดีเงินกู้ สอบถามคดีเงินกู้เพิ่มเติม ติดต่อ 091-047-3382 (ทนายสุริยา สนธิวงศ์)

 

 

กฎหมายหน้ารู้

ข้อพิจารณาอื่นๆ เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน

ข้อพิจารณาอื่นๆ เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน

 ๑. เกี่ยวกับนิติกรรมอำพราง

ฎีกาที่ ๔๖๙๘/๒๕๕๑

ค.กับจำเลยทั้งสามขอกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐ ๐๐๐ บาท มีที่ดินและบ้านพิพาทเป็นโดยจำเลยทั้งสามยินยอมทำเป็นสัญญาขายฝากตามความประสงค์ของโจทก์มีการทำรายการคิดการชำระเงินกัน กำหนดค่าไถ่ถอน ๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท  และมีการคิดดอกเบี้ยกับหักดอกไว้ล่วงหน้าจำนวน ๓๐๐,๐๐๐๐ บาท ด้วย  เมื่อตามกฎหมายมิได้บัญญัติให้นิติกรรมขายฝากมีการเรียกดอกเบี้ยกันได้  ประกอบกับโจทก์เองเบิกความรับว่า ค. ติดต่อเพื่อขอกู้ยืมเงินโจทก์ จึงฟังได้ว่าการทำสัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินโดยมีที่ดินและบ้านพิพาทเป็นประกัน จึงต้องนำกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมกู้ยืมมาใช้บังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๕ เป็นผลให้ที่ดินและบ้านพิพาทยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสาม โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามได้

๒. เกี่ยวกับผู้มีอำนาจฟ้องคดีเงินกู้

           ฎีกาที่ ๑๐๗๕๗/๒๕๕๓

           สัญญากู้ยืมเงินเป็นแบบฟอร์มหนังสือสัญญากู้ยืมเงินของสมาคมกลุ่มออมทรัพย์  และโจทก์ลงลายมือชื่อในช่องประธานคณะกรรมการอำนวยการ (ผู้ให้กู้ยืม) แสดงให้เห็นว่าเงินที่กู้ยืมกันกันไม่ใช่เงินส่วนตัวของโจทก์ เมื่อโจทก์เป็นผู้ดูแลรักษาเงินที่สมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ฝากไว้เพราะโจทก์มีฐานะเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการหรือประธานที่ปรึกษากลุ่มออมทรัพย์ โจทก์จึงเข้าครอบครองดินนั้นมีหน้าที่ส่งคืนเงินจำนวนเดียวกันกับกับที่กลุ่มลธมทรัพย์รับฝากใช้ฝากให้ครบร้านวน เมื่อโจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินที่รับฝากนี้แม้ไม่ใช่ของโจทก์ไป  โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกให้จำเลยผู้กู้ยืมชำระเงินคืนใด้โดยไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจจากผู้ใดก่อนเพราะเป็นการฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิของตนเองตามสัญญากู้ยืม   ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โดยตรง แม้ ก. กู้ยืมเงินโจทก์นำมาใช้เพื่อกิจการของศูนย์สาธิตการตลาดของหมู่บ้านซึ่ง ก. เป็นประธานศูนย์มิใช่การกู้ยืมเงินเพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็ตาม ศูนย์สาธิตการตลาดไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่อาจรับผิดทางแพ่งต่อผู้ใดตามกฎหมายได้ ดังนี้ผู้กู้ยืมต้องรับผิดตามสัญญากู้ยืมเป็นส่วนตัว โจทก์มีอำมีอำนาจฟ้อง

๓. กรณีไม่ใช่เป็นการกู้ยืมเงิน

          ฎีกาที่ ๑๕๑๓๐/๒๕๕๑

          โจทก์และจำเลยเข้าเป็นหุ้นส่วนกันซื้อที่ดินทั้งสองแปลงมาเพื่อขายเอากำไรแบ่งกัน โดยนำเงินที่ลงหุ้นกันจำนวน ๒,๑๑๐,๐๐๐๐ บาท และเงินส่วนตัวโจทก์อีก ๖๐๐,๐๐๐ บาท มาชำระเพิ่มเติม เช่นนี้ เงินจำนวน ๖๐๐,๐๐๐ บาท จึงเป็นเงินที่โจทก์ทดรองจ่ายแทนห้างหุ้นส่วนสามัญไปก่อนหาใช่เป็นเงินที่โจทกให้จำเลยกู้ยืมอันจะต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือไม่

          การเข้าหุ้นซื้อที่ดินทั้งสองแปลงของโจทก์และจำเลยมาเพื่อขายนั้น เป็นการเข้าหุ้นกันเฉพาะเพื่อทำกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดเพียงอย่างเดียว เมื่อขายที่ดินทั้งสองแปลงได้แล้ว การเป็นส่วนระหว่างโจทก์และจำเลยจึงเลิกกันตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๐๕๕ (๓) และหลังจากขาจำเลยได้แบ่งกำไรจากการขายที่ดินให้แก่โจทก์จำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐๐ บาท และมีการทำบัญชีไว้แสดงว่าโจทก์และจำเลยได้มีการคิดบัญชีกันเรียบร้อยแล้ว  ไม่มีทรัพย์สินในระหว่างหุ้นส่วนหรือหนี้สินใดที่จะต้องจัดการกันอีก ถือได้ว่ามีการตกลงกันให้การจัดการทรัพย์สินโดยวิธีอื่นในในระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกันแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๐๖๑ หาใช่ต้องจัดให้มีการชำระบัญชีเสมอไปไม่โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกเงินกำไรและเงินทดรองจ่ายแทนห้างหุ้นส่วนสามัญจากจำเลยได้

๔. เกี่ยวกับพยานผู้เชี่ยวชาญ

          ฎีกาที่ ๑๒๑๘๓/๒๕๔๗

          โจทก์จำเลยท้ากันว่า ให้ศาลส่งลายมือชื่อของจำเลยในสัญญากู้กับตัวอย่างลายมือชื่อชื่อของจำเลยไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ ถ้าผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าลายมือชื่อในสัญญากู้เป็นลายมือชื่อชื่อของจำเลยจริง จำเลยยอมแพ้คดี ถ้าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลย โจทก์ยอมแพ้คดี ศาลส่งเอกสาสารดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจพิสูจน์แล้ว ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่า น่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ดังนี้ ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นการยืนยันหรือทำนองยืนยันว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยตรงตามคำท้าของโจทก์จำเลยแล้ว จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี

๕. เกี่ยวกับการแปลงหนี้ใหม่

            ฎีกาที่ ๓๒๐๙/๒๕๕๐

            ป. กับโจทก์เป็นหุ้นส่วนในการยายที่ดินให้แก่จำเลย  จำเลยไม่มีเป็นชำระค่าที่ดินในสำส่วนของที่ดินที่เพิ่มขึ้น  แต่จำเลยตกลงรับโอนกรรมสิทธิ์โดยลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินให้ผู้จะขายระบุว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์เท่ากับเป็นการกู้เงินจากผู้จะขายมาชำระราคาที่ดินในส่วนเนื้อที่เกินไปจากสัญญาจะซื้อจะขาย  โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิลงลายมือชื่อในสัญญาที่ในฐานะผู้ให้กู้ได้และผูกพันจำเลย

            หนี้เดิมเป็นการตกลงทำสัญญาจะซื้อจะชายที่ดิมกันกัน ฝ่ายจำเลยไม่มีเงินพอจะจ่ายในส่วนขอเมื่อที่ดินที่เกิน จึงตกลงทำสัญญากูริมเป็นขึ้นที่อชำระหนี้คาที่ดิมที่ดินที่เกินที่เกิน  ถือว่าเป็นการแปลงสาระสำคัญแห่งหนี้   เป็นการแปลงหนี้ใหม่จากสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินมาเป็นสัญญายืมเงินโดยผู้ให้กู้อยู่ในฐานะผู้จะขายเช่นกัน  การแปลงหนี้ใหม่ในครั้งนี้จึงมิได้เปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ จึงมีใช่การแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ที่จะต้องบังคับตามทบัญญัติว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้องจำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินให้แก่โจทก์

๖. กรณีเกี่ยวพันกับความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค

            ฎีกาที่ ๕๓๒๖/๒๕๕๐

            เช็ดพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยทั้งสามร่วมกันออกให้แก่โจทก์แลกเปลี่ยนกับเช็ดที่จำเลยทั้งสาม ร่วมกันออกให้มาโจทก์เพื่อชำระหนี้ในกู้ยืม ๓,๐๐๐๐๐๐๐๐ บาท  ที่จำเลยที่ ๒  และที่ ๓ กู้ยืมไปจากโจทก์  และโจทก์ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ กู้ยืมเงินโดยไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมไว้ ดังนั้น การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมที่จะฟ้องร้องบังคับคดีได้ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา ๔ บัญญัติว่า “ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (๑) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น…ฯลฯ เมื่อได้มีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามก็ครั้น ผู้ออกเช็คมีควนผิด…” และ ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๓ วรทหนึ่ง ซึ่งใช้ในขณะจำเลยทั้งสามร่วมกันออกเช็ด บัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”  หนี้เงินกู้ยืมและหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มีจำนวนกันกันกว่าห้าสิบบาท  เมื่อไม่มีการทำหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญแม้จะฟังว่าจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นหนี้โจทก์อยู่จริงแต่นี่นั้นก็ไม่อาจฟ้องร้องบังคับกันได้ตามกฎหมายการกระทำของจำเลยทั้งสาม จึงขาดองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา ๔

         

สอบถามกฎหมายกับผู้เชี่ยวชาญคดีเงินกู้ สอบถามคดีเงินกู้เพิ่มเติม ติดต่อ 091-047-3382 (ทนายสุริยา สนธิวงศ์)

กฎหมายหน้ารู้

เรื่องต้องรู้ก่อนฟ้องคดี

เรื่องต้องรู้ก่อนฟ้องคดี

# เป็นผู้เสียหายหรือไม่

โดยปกติศาลจะไม่รับฟ้องคดีจากใคร   หากผู้ที่นำคดีมาฟ้องไม่ได้เกี่ยวข้องเป็นผู้เสียหายในคดีนั้นๆ

#ต้องอยู่ในอายุความฟ้องคดีได้

สำหรับการฟ้องคดีต่อศาล ตามกฎหมายแล้วจะมีกฎหมายกำหนดในเรื่องของระยะเวลาที่ฝ่ายผู้เสียหายสามารถนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้  ซึ่งหากการนำคดีมาฟ้องโดยล่วงเลยระยะเวลาอายุความในการฟ้องคดีแล้ว  อาจจะส่งผลทำให้ท่านแพ้คดีนั้นๆได้

#ฟ้องคดีแล้วคุณจะได้อะไร

เป็นเรื่องที่ท่านจะต้องคิดและวิเคราะห์หรือทบทวนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าท่านมีวัตถุประสงค์ในการฟ้องคดีอย่างไร  ต้องการให้ได้รับโทษในทางคดี   หรือต้องการให้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ   และหากจะใช้สิทธิ์ในการฟ้องคดี  ท่านสามารถใช้สิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายได้มากน้อยแค่ไหน  อย่างไร  ท่านควรจะคิดตรึกตรองถึงความคุ้มค่าในการดำเนินคดีนั้นๆอีกด้วย

#ปรึกษาทนายความที่ท่านไว้วางใจ

สำหรับในการฟ้องคดีต่อศาลนั้นเป็นเรื่องใหม่สำหรับท่าน  หรือเป็นเรื่องใหม่ๆสำหรับใครบางคนที่ไม่เคยขึ้นโรงขึ้นศาลมาก่อน   ดังนั้นในเรื่องของรายละเอียด  ในเรื่องของเวลา  ในเรื่องของความคุ้มค่า  รวมทั้งสิทธิในการนำคดีมาฟ้องนั้นท่านไม่มีประสบการณ์  ทนายความจึงมีความจำเป็นที่ท่านควรเข้าพบและหารือเบื้องต้น  ทั้งนี้เพื่อคุณจะได้มีข้อมูลเพียงพอสำหรับการเตรียมตัวในการยื่นฟ้องคดีต่อศาลของท่านได้

กฎหมายหน้ารู้

ปลดหนี้เสร็จสิ้น คือสิ่งที่ฉันต้องการ

ปลดหนี้เสร็จสิ้น คือสิ่งที่ฉันต้องการ

การปลดหนี้ได้เป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน เมื่อไหร่เรายิ่งเริ่มมีความพยายามมากขึ้นแล้ว แต่ทำไมยิ่งพบแต่เรื่องยุ่งเหยิงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราจะทำอย่างไรดี
ในทัศนะของทนายความ ผมเข้าใจว่าปัจจุบันคนส่วนใหญ่มีหนี้นอกระบบมากกว่าในระบบด้วยซ้ำไป ก็เพราะทุนในระบบปล่อยสินเชื่อน้อย ยิ่งเครดิตใครเคยเสียไปแล้วก็ต้องหันมาพึ่งเงินนอกระบบกัน และเมื่อเข้าสู่ระบบนี้แล้วเมื่อไหร่ก็จะทำให้เกิดหนี้มากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวไปเรื่อยๆจนแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ไม่ได้
ดังนั้น จุดเริ่มต้นที่แก้ปัญหาเหล่านี้ได้นั้นก็คือ ท่านต้องเอาเวลาของตัวเองที่มีอยู่ไปมุ่งมั่นไปกับการทำงานและใช้เวลากับการหารายได้เสริมของตัวเองให้มากขึ้น โดยท่านควรทำงานให้เต็มความรู้และความสามารถของตัวเองก่อน ส่วนสำหรับภาระหนี้สินที่ค้างอยู่กับเจ้าหนี้ทั้งในและนอกระบบนั้น หากท่านยังไม่พร้อมทนายก็แนะนำให้ท่านบอกเจ้าหนี้ไปตรงๆได้เลยว่า ในช่วงนี้เรายังไม่พร้อม และหากพร้อมเมื่อไหร่ก็จะรีบหามาคืนให้ มีมากก็จะให้มาก หากมีน้อยก็จะให้น้อยจนเรียบร้อย
ข้อสำคัญที่แนะนำ
อย่าไปเสียเวลานั่งคิดเรื่องการวิ่งหายืมเงินจากแหล่งเงินกู้ต่างๆเพื่อนำมาคืนให้แก่เจ้าหนี้ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ท่านได้เริ่มต้นในการทำแบบนี้แล้ว จะทำให้ภาระหนี้ก้อนเล็กๆของท่านที่มีอยู่จะเติบโตขึ้นกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่ต่อมากขึ้นเรื่อยๆเป็นเงาตามตัว เนื่องจากทุกครั้งที่มีการยืมเงินแหล่งใหม่ ส่วนใหญ่ก็มาจากเงินนอกระบบ มีดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น แล้วจะเป็นสาเหตุทำให้ท่านมีหนี้สินที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลทำให้การแก้ไขปัญหาของท่านเกิดขึ้นได้ยากกว่าเดิม และที่สำคัญท่านจะใช้เวลาหมดไปกับการใช้เวลาสำหรับการวิ่งหายืมเงินจากแหล่งเงินกู้เงินยืมต่างๆในแต่ละวันเพื่อจะให้ได้เงินมาส่งคืนให้แก่เจ้าหนี้รายต่างๆของท่าน และที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ ท่านจะไม่มีเวลาในแต่ละวันที่จะหันมาใช้ความรู้ ใช้ความสามารถในเรื่องของการคิดเรื่องการทำงาน หรือไม่มีเวลาในการการคิดหาวิธีในการหารายได้เสริมของท่านและครอบครัวของท่านเลย ท้ายสุดแล้ว ท่านก็จะตกอยู่ในวังวนในเรื่องของหนี้ ชีวิตอาจจะตกอยู่ในความล้มเหลวเป็นเวลานาน แล้วจะเหลือไว้แต่เพียงหนี้สินที่จะเป็นมรดกไว้ให้แก่ลูกหลานของท่านต่อไป

ปรึกษา คลินิกแก้หนี้ โดยทนายความ สยามอินเตอร์ลอว์ /ติดต่อสื่อสาร 091-047-3382 , 02-1217414

กฎหมายหน้ารู้